หลังจากที่หานปิงเดินออกไป สวีจือย่วนก็จมอยู่ในห้วงความคิดลึกซึ้งอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถอนหายใจเบาๆ หยิบเข็มขึ้นมาแล้วเย็บเสื้อผ้าให้เสี่ยวหนานเฟิงต่อ...
ในเวลานี้ ซูฉ่ายเวยก็มีความรู้สึกผสมปนเปไปหมดเหมือนกัน
รู้สึกดีใจที่อินชิงเสวียนยังไม่ตาย ต่อไปยังสามารถซื้อของเพื่อเอาใจนางได้อีก แต่ก็รู้สึกกังวลที่นางยังไม่ตาย ได้ยินมาว่าฝ่าบาทได้อุ้มนางกลับไปที่ตำหนักจินหวูด้วยตัวเอง
เมื่อคิดว่าพวกนางทั้งสองต่างก็เป็นสนมขั้นเฟย ในขณะที่เหยาเฟยอาศัยอยู่ในตำหนักจินหวู แต่ตัวเองกลับยังคงอาศัยอยู่ในหอฉงฮวาเล็กๆ จู่ๆ ในใจก็คิดว่าไม่ยุติธรรม
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเซียงหลานพูดว่า “พระสนม นายหญิงฉู่และนายหญิงท่านอื่นๆ มาเพคะ”
ซูฉ่ายเวยกำลังจะหาคนคุยอยู่พอดี เมื่อได้ยินดังนี้จึงบอกว่า “ให้พวกนางเข้ามา”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉู่หลิงอวี้ที่สวมกระโปรงสีเขียวก็เดินนำทุกคนเข้ามา
แม้ว่าฉู่หลิงอวี้จะไม่มีตำแหน่ง แต่กลับมีนิสัยเจ้าเล่ห์แสนกลชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ จึงกลายเป็นผู้นำของเหล่าหญิงงามไปโดยปริยาย นอกจากนี้ฉู่หลิงอวี้ยังมีภูมิหลังตระกูลที่ดี ตระกูลฝ่ายแม่เป็นคนค้าขาย จึงมีเงินทองไม่ขาดมือ
ปกติมักจะใช้เงินเล็กๆ น้อยๆ กับหญิงงามเหล่านี้ จากนั้นทุกคนก็ค่อยๆ มารวมตัวกันที่หอปี้อวี้
หลังจากได้ยินข่าวของอินชิงเสวียน วันนี้จึงมาหาข้อมูลเพิ่มเติม
“น้อมทักทายพระสนมหลิงเฟย”
ทันทีที่เดินเข้าประตู ฉู่หลิงอวี้ก็ยอบกายคำนับทันที
ซูฉ่ายเวยนั่งบนเก้าอี้ พูดด้วยรอยยิ้ม “ล้วนเป็นพี่น้องกัน รีบตามสบายเถอะ”
“ขอบพระทัยพระสนม!”
ฉู่หลิงอวี้เข้ามาจับมือของซูฉ่ายเวย ยกกระโปรงขึ้นแล้วนั่งลง นายหญิงคนอื่นๆ ต่างก็ขอบคุณและนั่งบนตั่งที่นางกำนัลนำมาให้
“เหตุใดวันนี้พวกเจ้าจึงมีเวลาว่างมาได้รึ”
ฉู่หลิงอวี้หัวเราะแล้วพูดว่า “เราเห็นวันนี้อากาศดี จึงชวนกันมาคำนับพระสนมเพคะ ได้ยินมาว่าพระสนมจากตำหนักจินหวูเสด็จกลับมาแล้ว อีกทั้งฝ่าบาทก็ทรงอุ้มกลับมาด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าข่าวนี้จริงหรือไม่”
ใบหน้าของซูฉ่ายเวยดูบิดเบี้ยวเล็กน้อย
“พวกเจ้าคงได้ยินมาบ้างแล้ว ย่อมเป็นเรื่องจริงเช่นนั้น”
นายหญิงคนหนึ่งถามอย่างไม่เข้าใจ “เสวียนเจินบอกว่าพระสนมแห่งตำหนักจินหวูเป็นปีศาจมิใช่หรือ ได้ยินมาว่าเสวียนเจินไต้ซือเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง หรือว่าครั้งนี้เขามองพลาดไป”
ซูฉ่ายเวยกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ เพียงแต่ได้ยินมาว่าวันนี้ไทเฮาและฝ่าบาทเสด็จไปที่หอสวดมนต์เท่านั้น”
ฉู่หลิงอวี้เยาะเย้ยพูดว่า “บางทีเสวียนเจินไต้ซืออาจไม่ได้มองพลาด เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นปีศาจที่เก่งกว่า จึงทำให้ไต้ซือถูกควบคุมแทน”
ซูฉ่ายเวยเหลือบมองนางแล้วพูดว่า “ถ้าพระสนมแห่งตำหนักจินหวูเป็นปีศาจจริงๆ คงกินพวกเราไปและครอบงำฝ่าบาทแต่เพียงผู้เดียวไปนานแล้ว เรื่องนี้ไม่ควรพูดจาไร้สาระดีกว่า”
ฉู่หลิงอวี้พูดอย่างไม่เห็นด้วย “กลัวอะไร เมื่อก่อนตอนที่นางเป็นขันที ข้าก็รู้สึกว่านางมีลับลมคมใน ของที่นางขายยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน บางทีทั้งหมดนั้นอาจถูกสร้างขึ้นด้วยมนตราก็ได้”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉู่หลิงอวี้พูด ทุกคนก็อดกลัวเสียมิได้
โดยเฉพาะซูฉ่ายเวยที่ซื้อของมากที่สุด
นางตัวสั่นสะท้าน พูดว่า “ไม่ใช่กระมัง พวกเจ้าเชื่อข่าวลือเขย่าขวัญเกินไปแล้ว”
ฉู่หลิงอวี้เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “ใช่หรือไม่ใช่ ใครจะบอกชี้ชัดได้ล่ะ”
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง...
ณ ห้องหนังสือ
เมื่อเย่จิ่งอวี้กลับมาถึงตำหนัก เขาก็จัดการสะสางฎีกาด่วนทันที จากนั้นก็ได้ยินคนมารายงานว่าพระสนมเหยาเฟยฟื้นแล้ว
“ไม่สบายที่ใดหรือไม่”
เย่จิ่งอวี้วางฎีกาลง
ขันทีน้อยตอบว่า “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่อ่อนแรงเล็กน้อย ตอนนี้กำลังเล่นกับองค์ชายน้อยอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...