เย่จิ่งอวี้เดินขึ้นบันไดหินไปที่ประตู แล้วค่อยๆ หันหลังกลับ
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “พวกเจ้าคิดว่าสนมของไปทำร้ายเขาเป็นเรื่องไม่สมควร แต่กลับไม่ถามถึงเรื่องที่ปีศาจหลวงจีนนั่นกักขังคนของข้าถึงสามวัน ถ้าภรรยาและลูกๆ ของพวกเจ้าถูกจับ ก็จะไม่ดูดำดูดีงั้นรึ!”
“เรื่องดวงชะตายิ่งเป็นเรื่องไร้สาระ ตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิ มีภัยพิบัติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในต้าโจว ถ้าข้าจำไม่ผิด พวกเจ้าได้วิพากษ์วิจารณ์ว่าข้าไม่มีศีลธรรมคู่ควรกับตำแหน่ง ทำให้เกิดภัยพิบัติดังกล่าว เหตุใดในตอนนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่าเสวียนเจินไร้คุณธรรม จึงทำให้เกิดภัยพิบัติบ้าง”
ทุกคนคุกเข่าลงทันที
“พวกกระหม่อมมิกล้าวิจารณ์ฝ่าบาท!”
เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงอย่างเย็นชา “อย่าคิดว่าที่ข้าไม่พูด เพราะข้าไม่รู้ แต่เพราะเห็นแก่ความชราของพวกเจ้า จึงไม่ได้สั่งให้ลงโทษ ตอนนี้แทนที่จะสำนึกตัว แต่กลับมาโทษข้า ใต้หล้ามีขุนนางกบฏอย่างพวกเจ้าด้วยงั้นหรือ”
คำพูดสุดท้ายที่เปล่งออกมาจากปากของเขา เป็นเหมือนเหล็กแหลมที่พุ่งออกมา ทุกคนตัวสั่นสะท้านในทันที
“กระหม่อมมิกล้า!”
เย่จิ่งอวี้สะบัดแขนเสื้อแล้วพูดว่า “ถ้าไม่กล้าก็จงกลับไปซะ”
“ช้าก่อน!”
ไทเฮาก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า “ถ้าฮ่องเต้อยากให้คนตาย ก็ต้องให้ตายอย่างมีเหตุผลชัดเจน ข้าเชื่อว่าเสวียนเจินไต้ซือมีบารมีมาก หากฮ่องเต้ประหารชีวิตเขาเช่นนี้ จะทำให้ขุนนางไม่ยินยอม และยากที่จะหยุดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของราษฎรได้”
เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นโดยไม่ปิดบังความรังเกียจในดวงตา
“แล้วไทเฮาคิดอย่างไร”
ไทเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ข้าคิดว่าควรให้โอกาสเสวียนเจิน ได้ทำพิธีบวงสรวงขอฝนแก่ต้าโจว หากไม่สำเร็จ ข้าจะมอบเขาให้ฮ่องเต้ได้ตัดสิน”
นางแสยะยิ้ม แล้วกล่าวว่า “สนมเหยาเฟยเอาแต่พูดว่าเขาเป็นปีศาจหลวงจีน คิดว่านางต้องมีความสามารถอยู่เช่นกัน สามารถให้นางไปทำพิธีบวงสรางกับเสวียนเจินไต้ซือด้วยได้”
“เหลวไหลทั้งเพ!”
เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “สนมเหยาเฟยเป็นเพียงคนธรรมดา นางจะขอฝนได้อย่างไร”
ไทเฮายกยิ้มมุมปาก พูดเยาะเย้ย “ถ้านางทำไม่ได้ จะกล่าวหาว่าเสวียนเจินเป็นปีศาจได้อย่างไร อาศัยแค่ลมปากของนางก็จะกลับดำให้เป็นขาว ราษฎรทั้งแผ่นดินจะกล่าวกันว่าอย่างไร”
ทันทีที่พูดจบก็มีเสียงใสๆ พูดขึ้นว่า “พูดได้ดี หม่อมฉันเห็นด้วย”
อินชิงเสวียนเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงยาวสีชมพู ค้ำยันแขนของเสี่ยวอานจื่อเดินออกก้าวออกมาอย่างสง่างาม
ใบหน้าเล็กๆ จิ้มลิ้มพริ้มเพราดวงนั้นไม่ได้แต่งหน้า จึงดูซีดเซียวเล็กน้อย แต่ก็ยังมีความงามที่น่าหลงใหล
เย่จิ่งอวี้ส่ายศีรษะ พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม “เหยาเฟย อย่าพูดไร้สาระ”
อินชิงเสวียนโค้งคำนับและพูดว่า “หม่อมฉันยินดีรับคำท้า หม่อมฉันเชื่อว่าสวรรค์จะอยู่เคียงข้างความยุติธรรม เพียงแต่ถ้าหากเสวียนเจินพ่ายแพ้ จะจัดการเช่นไร”
ไทเฮามองดูนางอย่างเกลียดชังแล้วพูดว่า “ถ้าเขาแพ้เจ้า ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด ปล่อยให้เจ้าจัดการ”
อินชิงเสวียนยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ทำการเดิมพันตามนี้ ขอให้ฝ่าบาทเป็นพยานให้เราสองคนด้วยนะเพคะ”
เมื่อเห็นนางเต็มไปด้วยความมั่นใจ เย่จิ่งอวี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจ
ดวงตาคู่นั้นมองใบหน้าของอินชิงเสวียนไม่หยุด พยายามอ่านความคิดของนาง
กวนเมิ่งถิงหัวเราะเบาๆ พูดว่า “ไม่คิดว่าพระสนมเหยาเฟยจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ กระหม่อมจะแจ้งเรื่องนี้ให้ขุนนางราชสำนักทุกคนได้ทราบ และเชิญทุกคนให้มาเป็นสักขีพยานด้วยตาตนเอง”
เย่จิ่งอวี้อดสบถเสียมิได้ ตาแก่นี่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นไม่กลัวบานปลายเลยจริงๆ
ลู่ทงก็พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ตกตงตามนี้ หากพระสนมรับคำท้า ก็ควรทำให้เสวียนเจินพ่ายแพ้ราบคาบอย่างสุดจิตสุดใจ”
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองอินชิงเสวียนอีกครั้ง
เมื่อเห็นนางพยักหน้า เขาจึงพูดว่า “ได้ เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือโดยไม่หันกลับมามองอีก
กวนเมิ่งถิงและขุนนางหลายคนมองหน้ากัน แล้วพูดพร้อมกัน “กระหม่อมขอทูลลา”
จากนั้นไทเฮาก็จากไปพร้อมกับชุยไห่ทันที
ระหว่างทางชุยไห่ได้ถามว่า “ไทเฮา เสวียนเจินขอฝนได้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้หรือไม่ข้าก็ไม่รู้หรอก สรุปแล้วข้าต้องช่วยเขาให้ได้ก่อน แล้วค่อยหาทาง เจ้ารีบไปตามหมอหลวง ข้าจะรีบไปดูที่หอสวดมนต์”
ไทเฮาคว้าแขนนางกำนัลแล้วรีบไปยังหอสวดมนต์
เสวียนเจินบวมช้ำไปทั้งใบหน้า ที่ศีรษะล้านเลี่ยนมีก้อนปูดนูนขึ้นมาก้อนใหญ่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...