สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 228

อินชิงเสวียนตกตะลึง

เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ แล้วพูดเสียงเรียบ “กิจการบ้านเมืองกำลังวุ่นวาย ยากที่จะจัดการได้ ข้ามีอารมณ์ไปหาสตรีได้อย่างไร”

อินชิงเสวียนมองดูเขา แล้วถามด้วยความสับสน “ตอนนี้เก็บเกี่ยวข้าวสาลีได้แล้ว ทหารจากเมืองหลวงถูกส่งไปยังเจียงวูแล้ว ฝ่าบาทต้องกังวลอะไรอีก”

เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้ว พูดด้วยโทรเสียงทุ้มต่ำ “ทหารโล่ของเจ้าถูกศัตรูพบวิธีเอาชนะได้แล้ว เมื่อเช้านี้ ข้าได้รับรายงานด่วนแปดร้อยลี้ คูเมืองชายแดนถูกทำลาย กองกำลังได้ถอยร่นมารักษาอยู่ที่ด่านถงกู่ ถ้าเกิดว่าช่องทางนี้พังอีก เจียงวูจะโรมรุกบุกตะลุยเข้ามาอย่างแน่นอน”

อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจ

“พวกเขาสามารถผ่านค่ายกลโล่กำแพงได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ”

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ข้าสงสัยว่าในกองทัพมีหนอนบ่อนไส้”

อินชิงเสวียนคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “มีเพียงความเป็นไปได้นี้เพียงอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นศัตรูคงไม่สามารถทำลายค่ายกลได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้”

ทันใดนั้นนางก็นึกถึงจังเถี่ยและสวีเหลียง จึงถามขึ้นทันที “ทหารได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง”

เย่จิ่งอวี้กล่าวว่า “มีค่ายกลฌล่กำแพงเป็นเกราะป้องกันอยู่ จึงมีความเสียหายจะไม่มากนัก”

อินชิงเสวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถามว่า “ในจดหมายได้บอกว่าเจียงวูทำลายค่ายกลโล่กำแพงได้อย่างไรเพคะ”

“ใช้หินก้อนใหญ่ขว้างเข้ามา”

หลังจากฟังคำพูดของเย่จิ่งอวี้แล้ว อินชิงเสวียนก็คิดในใจว่า อีกฝ่ายคงไม่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องเดอะฮอบบิทด้วยหรอกนะ รู้วิธีใช้หินขนาดใหญ่ทำลายค่ายกลด้วย!

แล้วก็รู้สึกว่าความคิดของตัวเองไร้สาระ

ในโลกนี้จะมีคนทะลุมิติมาหลายคนได้อย่างไร

แต่ว่าในเมื่อตัวเองสามารถทะลุมิติมาได้ ทำไมคนอื่นจะมาบ้างไม่ได้

“เจียงวูเป็นแคว้นอย่างไรหรือเพคะ”

เย่จิ่งอวี้เดินไปที่หน้าต่าง มองดูม่านฝนข้างนอกแล้วพูดว่า “เจียงวูเป็นชนเผ่าเร่ร่อน เมื่อตอนที่ข้ายังเป็นรัชทายาท ได้นำกองกำลังไปพิชิตเจียงวูด้วยตัวเอง”

เขาหยุดชั่วครู่แล้วพูดว่า “ในตอนนั้น ข้ามีโอกาสที่จะทำลายล้างชนเผ่าของพวกเขา แต่เนื่องจากข้าไม่ต้องการฆ่าให้เป็นบาปกรรม ข้าจึงปล่อยนักโทษเหล่านั้นไป ไม่คิดว่าในเวลาเพียงไม่กี่ปี เจียงวูกลับเติบโตขึ้นไม่หยุด และผนวกรวมเข้ากับชนเผ่า 36 เผ่าในฝั่งตะวันตก และได้สถาปนาตนเป็นอ๋อง บัดนี้มีกำลังที่แข็งแกร่งมาก”

เย่จิ่งอวี้หันกลับมามองอินชิงเสวียน แล้วพูดว่า “เจ้าอย่าตำหนิที่ข้าสงสัยตระกูลอินเลยนะ หลายปีที่ผ่านมาเมืองหลวงมีข้อมูลรั่วไหลหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ช้ากว่าเจียงวูอยู่ก้าวหนึ่งเสมอ แม้ว่าบิดาของเจ้าจะไม่เคยพ่ายแพ้ แต่กลับถูกเจียงวูควบคุมไว้ตลอด หลังจากที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต ก็ค้นเจอจดหมายตอบโต้ของตระกูลอิน ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะไม่สงสัยเลยหรือ”

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองพูดคุยเกี่ยวกับตระกูลอินอย่างเปิดเผย แม้ว่าจะเป็นปัญหาที่หนักไปบ้าง แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

อินชิงเสวียนสูดลมหายใจลึกๆ แล้วพูดว่า “หากตระกูลอินมีเจตนาเป็นกบฏจริงๆ คงไม่ยอมให้ถูกจับโดยละม่อมเช่นนี้ แม้ว่าท่านพ่อของหม่อมฉันจะอยู่ห่างไกลถึงเมืองซุ่ยหาน แต่เขาไม่เคยโทษฝ่าบาทเลย จนถึงทุกวันนี้ เขายังรอให้ฝ่าบาทเข้าใจ และล้างชื่อคนทรยศออกไปจากเขา หม่อมฉัน...ก็เช่นกัน”

“เพราะข้ารู้เรื่องนี้ดี จึงส่งคนไปตรวจสอบอีกครั้ง”

เย่จิ่งอวี้หันกลับมา แววตาอ่อนโยนขี้นเล็กน้อย

“เพียงแต่ข้าอยากถามอีกคำถามหนึ่ง เจ้า เกลียดข้าหรือไม่”

อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น เผชิญสายตากับเรียวตาหงส์ที่อ่อนโยนและสงบคู่นั้น

สิ่งที่แวบเข้ามาในหัวคือความยากลำบากของเจ้าของร่างเดิมตอนที่อยู่ในวังเย็น

นางไม่ได้เกลียดเย่จิ่งอวี้อยู่แล้ว ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนที่ข้ามมิติมา ไม่มีรู้สึกถึงความรู้สึกของเจ้าของร่างมากนัก ทว่า นางจะเป็นคนตอบแทนเจ้าของร่างเดิมได้หรือไม่

นางเกลียดชังราชวงศ์ นางไม่เต็มใจที่จะถูกเรียกว่ากบฏ นางตัดใจจากลูกไม่ได้...

เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วก้มศีรษะลง

ครั้นเห็นดวงหน้าเล็กๆ ก้มลง ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็ฉายแววโศกเศร้า

เขาค่อยๆ เดินไปหาอินชิงเสวียน ยื่นมือทั้งสองข้างโอบนางไว้ในอ้อมแขนของเขา

เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน “ข้าจะชดเชยให้เจ้า ข้าจะให้เวลาเจ้าด้วย”

ความรู้สึกอบอุ่นปกคลุมร่างกายของอินชิงเสวียน ทันใดนั้นหัวใจของนางดูเหมือนจะหลุดจังหวะสมองของนางสับสนอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาว่า “ฝ่าบาท...ทรงมีหม่อฉันเพียงคนเดียวได้หรือไม่”

“อะไรนะ”

เย่จิ่งอวี้ได้ยินไม่ชัดเจน

แล้วอินชิงเสวียนก็ตื่นจากภวังค์ ชี้ไปข้างนอกแล้วพูดว่า “ดูเหมือนฝนจะหยุดตกแล้ว”

เย่จิ่งอวี้ปล่อยมือแล้วเดินไปที่ประตู

เขายิ้มพูดว่า “หยุดแล้วจริงๆ อากาศคงจะเย็นสบายมาก เจ้าอยากออกไปเดินเล่นหรือไม่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์