แสงจันทร์สีซีดสะท้อนดวงตาสีเข้มของเย่จิ่งอวี้ให้เป็นประกายยิ่งขึ้น ราวกับว่าซ่อมทะเลแห่งดวงดาวไว้ด้านใน ทำให้ผู้คนมัวเมาอย่างอดไม่ได้
อินชิงเสวียนหลงกลเล็กน้อย จึงพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวสารและพูดขึ้นว่า “เป็นความจริงแน่นอนเพคะ”
เย่จิ่งอวี้มองนางและยิ้มออกมา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คลายลง “นั่นเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนมาก เมื่อก่อนข้าก็เคยคิดว่านั่นคือความโปรดปราน จู่ๆ ตอนนี้ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ความรักที่มีต่อเจ้า ไม่เหมือนที่มีต่อนางเลยสักนิด”
อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะในใจ ความรู้สึกของเย่จิ่งอวี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อย ทุกคนต่างก็พอๆ กัน อย่าได้มีใครหัวเราะเยาะกันเลย
“หม่อมฉันยังนึกว่าฝ่าบาทตกหลุมรักแรกพบกับพระสนมสวีเสียอีก ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงรีบร้อนช่วยนางในวันนั้นเพคะ”
“ข้าช่วยนาง เป็นเพราะข้าเห็นปานที่หัวไหล่ของนาง”
เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้นว่า “ตอนที่ข้าอายุยังน้อย ข้าเคยแอบหนีออกนอกวังกับเสร็จอาสิบสาม จากนั้นก็เจอคนตามฆ่าและพลัดหลงกับเสด็จอา ตอนนั้นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งช่วยข้าไว้ และพาข้าไปซ่อนไว้ที่วัดร้างแห่งหนึ่ง และรอการช่วยเหลือจากทหารองครักษ์ ข้าอยากถามชื่อของนาง ตอนที่ดึงแขนเสื้อของนาง จึงได้เห็นปานที่ไหล่ของนางโดยไม่ทันระวัง นับตั้งแต่วันนั้น ข้าก็จดจำปานนั้นมาตลอด ข้าอยากตอบแทนนาง และไม่คิดว่าจะมาพบกับคนคนนั้นในวังได้”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อได้ยินเย่จิ่งอวี้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ในสมองของอินชิงเสวียนก็ปรากฏภาพขึ้นเล็กน้อย หรือว่าเขาเล่าเรื่องได้ดีมากเกินไป จนทำให้คนรู้สึกอินงั้นหรือ?
ไม่แปลกที่หลี่เต๋อฝูพูดว่าเขาโปรดปรานเด็กสาวคนหนึ่งมาโดยตลอด เขาสามารถมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้ คงเป็นเพราะความชอบแล้วล่ะ
เมื่อลองจินตนาการภาพที่เย่จิ่งอวี้และสวีจือย่วนรักใคร่กลมเกลียว จู่ๆ อินชิงเสวียนก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมา
“เช่นนั้นฝ่าบาทก็ต้องทำดีกับนางให้มาก เหตุใดถึงตอนนี้แล้วยังไม่พระราชทานราชทินนามให้แก่นาง?”
เมื่อฟังน้ำเสียงที่เป็นปกติของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้จึงหันตามองและถามว่า “เจ้าโกรธงั้นหรือ?”
อินชิงเสวียนกอดไหล่และพูดว่า “ข้าได้เป็นพระสนมเอกแล้ว ยังต้องโกรธอะไรอีกเพคะ”
จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็ยื่นมือออกมาโอบไหล่นางไว้
กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าเป็นฮองเฮาของข้า แม้จะช้าไปเสียหน่อย แต่ข้ายังคงมอบตำแหน่งฮองเฮาให้แก่เจ้า เมื่อถึงวันพิพากษาตระกูลอิน ข้าก็จะตั้งชื่อให้เจ้าใหม่ เพียงแต่หนทางนี้อาจไม่ราบเรียบเหมือนอย่างที่เจ้าคิดไว้ แต่ว่าข้าจะเป็นคนคนนั้นที่ยอมแหวกโค่นดงหนามเพื่อเจ้า”
อินชิงเสวียนนิ่งไป ไม่ว่าอย่างไรนางก็นึกไม่ออกว่าเย่จิ่งอวี้จะพูดจาแบบนี้ได้ อีกทั้งยังพูดได้ลึกซึ้งกินใจมาก ใจหนึ่งดวงเต้นระรัวขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ไม่ได้แล้ว ไม่ได้แล้ว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่านางอาจชอบเย่จิ่งอวี้เข้าจริงๆ
ต้องอยู่ให้ห่างจากเขา วาจาของผู้ชายไม่อาจเชื่อถือได้
เขามีนางสนมที่ถูกต้องตามกฎหมายมากมาย แต่นางมีเพียงเขาแค่คนเดียว ไม่ยุติธรรมและไม่เท่าเทียมกันเลย
แม้ว่าเย่จิ่งอวี้จะดีมากแค่ไหน นางก็ไม่ต้องการผู้ชายแบบนี้
“เอ่อ... จู่ๆ หม่อมฉันก็รู้สึกปวดท้องนิดหน่อย หม่อมฉันกลับตำหนักก่อนนะเพคะ”
อินชิงเสวียนพูดจบก็วิ่งไปทันที ฝีเท้าว่องไวราวกับโผบิน
“เสวียนเอ๋อร์!”
เย่จิ่งอวี้ตะโกนพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมา อินชิงเสวียนก็หายไปแม้แต่เงา
เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่รู้ว่าเพราะอะไร
นี่... เหมือนคนเท้าแพลงที่ไหนกัน?
เย่จิ่งอวี้กลับมาถึงตำหนักจินหวู อินชิงเสวียนได้ห่อตัวเองไว้แน่นด้วยผ้าห่ม และนอนอยู่บนเตียงโดยมีเพียงศีรษะของนางที่โผล่ออกมา
“หม่อมฉันถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”
นางบิดตัวหนึ่งมีราวกับกุ้ง
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองนางอย่างทำอะไรไม่ได้
“นอนไปเถอะ”
สายลมที่พัดผ่าน ทำให้แสงเทียนดับลง
เมื่อได้ยินเสียงถอดเสื้อผ้าดังกรอบๆ แกลบๆ อินชิงเสวียนก็รู้สึกไม่เป็นอิสระอย่างมาก
โชคดีที่คนสมัยโบราณยังพอมีศีลธรรมอยู่บ้าง เวลานอนก็จะสวมเสื้อและกางเกงทับในไว้ ไม่มีทางปล่อยเนื้อตัวล่อนจ้อน เมื่อคิดได้เช่นนั้น อินชิงเสวียนก็สบายใจลงเล็กน้อย
แต่นางยังคงพยายามกลั้นหายใจเอาไว้ ไม่นานนัก ข้างกายของนางก็มีเสียงหายใจที่สม่ำเสมอดังขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...