วันต่อมา
ตอนที่อินชิงเสวียนตื่นขึ้นมา เย่จิ่งอวี้ก็ออกไปแล้ว
นางหาวและลุกขึ้นนั่งด้วยความงัวเงีย
อวิ๋นฉ่ายยกน้ำเข้ามาจากด้านนอกพอดี
“พระสนม ตื่นแล้วหรือเพคะ?”
“ใช่ ฝ่าบาทออกไปตอนไหนกัน?”
อินชิงเสวียนบิดขี้เกียจ และลงจากเตียง
อวิ๋นฉ่ายเม้มปากหัวเราะ “ออกไปได้หนึ่งชั่วยามแล้วเพคะ และยังกำชับพวกเราอีกว่า อย่ารบกวนการนอนของพระสนม ฝ่าบาทช่างดีต่อพระสนมจริงๆ”
จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงคำพูดเมื่อคืนนี้ของเย่จิ่งอวี้ และหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา
นางรีบส่ายหัวในทันที ไม่จริง ไม่ใช่เรื่องจริง
ต้องเป็นเพราะบรรยากาศที่น่าหลงใหลยามค่ำคืน เขาจึงพูดคำเหล่านั้นออกมา
เดินไปที่อ่างล้างหน้าและล้างหน้า ทันใดนั้นก็เห็นเงาสีขาวผ่านเข้ามา
อวิ๋นฉ่ายร้องขึ้นมาในทันที “อ๊าย ไป๋เสวี่ย เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
ไป๋เสวี่ยยืนขึ้น ต้องการที่จะไปดื่มน้ำในอ่างล้างหน้า มันเข้าไปใกล้และสูดดม จากนั้นก็ถอยออกไป
สุนัขตัวนี้จมูกดีเสียจริง คงรู้ว่านี่ไม่ใช่น้ำพุวิญญาณ
ในระหว่างที่คิด ก็ได้ยินเสียงตะโกนของเสี่ยวอานจื่อ “เหนียงเหนียง คนของตำหนักเฉิงเทียนมาตามหาไป๋เสวี่ยพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋เสวี่ยรีบไปซ่อนตัวอยู่ข้างกายอินชิงเสวียน นั่งลงบนพื้นและยกอุ้งเท้าขึ้นกราบนาง
เมื่อคิดได้ว่าช่วงนี้เย่จิ่งอวี้ยุ่งกับงานหลวง จึงไม่มีเวลาจูงมันเดินเล่น จึงพูดกับเสี่ยวอานจื่อว่า “เจ้าไปบอกพวกเขาว่า ข้าให้ไป๋เสวี่ยอยู่ที่นี่แล้ว”
ไป๋เสวี่ยตั้งหูขึ้น แยกเขี้ยวของมันในทันที และหันไปยิ้มให้อินชิงเสวียน
อินชิงเสวียนไม่รู้ว่าเป็นเพราะดื่มน้ำพุวิญญาณหรือไม่ แต่เห็นได้ว่า ไป๋เสวี่ยดูเหมือนจะเข้าใจภาษาคนมากขึ้นเรื่อยๆ
ยื่นมือมาลูบบนหัวใหญ่ๆ ของมันหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ไปเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงเถอะ อีกสักพักจะให้น้ำดื่มอร่อยๆ แก่เจ้า”
ไป๋เสวี่ยร้องโฮ่ง และออกไปพร้อมกับยกหางใหญ่ของมันขึ้นมา
อินชิงเสวียนแอบมองที่ริมหน้าต่าง ไป๋เสวี่ยเดินไปหายายหลี่จริงๆ จากนั้นก็นั่งลงข้างเท้าของนาง และยื่นอุ้งมืออวบอ้วนของมันตบไปที่เสี่ยวหนานเฟิง
ให้ตายเถอะ ดูเหมือนจะฟังเข้าใจจริงๆ นะเนี่ย!
สุนัขตัวนี้ฉลาดขึ้นกว่าตอนที่นางเจอตอนแรกเป็นอย่างมาก
อวิ๋นฉ่ายก็ประหลาดใจเช่นกัน ไป๋เสวี่ยฉลาดมากจริงๆ ฉลาดยิ่งกว่าข้าเสียอีก
เมื่อได้ยินดังนั้น อินชิงเสวียนก็หัวเราะออกมา
“รีบทำผมให้ข้าเถอะ ข้าต้องไปเยี่ยมสวีจือย่วน”
อวิ๋นฉ่ายตอบรับและหยิบหวีไม้เล็กๆ ออกมา หวีเพียงสองครั้งก็ถามขึ้น “พระสนมเพคะ ฝ่าบาทไปเยี่ยมพระสนมสวี ท่านไม่โกรธหรือเพคะ?”
อินชิงเสวียนกลอกตาและพูดขึ้นว่า “ข้าโกรธได้ด้วยหรือ? วังหลังไม่ได้มีเพียงข้าที่เป็นผู้หญิงคนเดียว”
แต่ในใจกลับคิดว่า ความจริงไม่จำเป็นต้องหัวเสียเพราะผู้ชายเลยด้วยซ้ำ โมโหไปก็ทำให้เสียสุขภาพ อีกทั้งจะเป็นการหาโทษให้ตัวเองด้วย
สิ่งที่นางอยากทำมากที่สุดคือหนีไป แต่ว่าตอนนี้เกรงว่าจะต้องเปลี่ยนวิธีก่อน
วิธีที่ไม่ลำบากทุกคน และต้องทำให้เย่จิ่งอวี้ยอมปล่อยนางไป เมื่อนึกถึงของบางอย่างในร้านสะสมคะแนน อินชิงเสวียนก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
แต่ว่าต้องรอให้ตระกูลอินได้รับความยุติธรรมก่อน จึงจะสามารถวางแผนอย่างรอบคอบได้
อีกอย่าง นางต้องปลุกจิตวิญญาณขึ้นมา ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ห้ามหลงกลกับดักของเย่จิ่งอวี้
อวิ๋นฉ่ายรีบพูดขึ้นอย่างว่องไว “ก็จริงเพคะ โทษเจ็ดประการซึ่งเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุดคือการอิจฉาริษยา”
จากนั้นก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า “พระสนมจิตใจกว้างใหญ่ไพศาล ต่อไปต้องเป็นฮองเฮาที่ดีที่ดูแลผู้คนทั้งโลกด้วยความรักของแม่ได้แน่นอนเพคะ”
อินชิงเสวียนหยักไหล่
“ข้าไม่มีวาสนาได้เป็นฮองเฮาหรอก อ้อ ใช่สิ เกี๊ยวเมื่อวานยังเหลืออยู่ใช่หรือไม่ อีกครู่นำเข้ามาให้ข้า ข้าจะกินสักหน่อยแล้วค่อยไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...