สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 245

สรุปบท บทที่ 245 รักคนคนหนึ่ง: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์

อ่านสรุป บทที่ 245 รักคนคนหนึ่ง จาก สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ โดย GoodNovel

บทที่ บทที่ 245 รักคนคนหนึ่ง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายโรแมนติก สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย GoodNovel อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

อินชิงเสวียนยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ซื้อขาย ซื้อขาย ถ้าไม่มีคนซื้อ จะมีคนขายได้อย่างไร สนมฉู่ก็เคยได้รับผลประโยชน์ด้วยไม่ใช่หรือ แค่ไม่กี่วันก็ลืมแล้วงั้นหรือ?”

ฉู่หลิงอวี้กระแอมไอเสียงแห้งและพูดว่า “อย่างไรผู้อื่นก็ซื้อด้วยเช่นกัน เหตุใดข้าจะซื้อบ้างไม่ได้”

น้ำเสียงของอินชิงเสวียนเย็นชา และพูดออกมาทีละคำ “ในเมื่อซื้อไปแล้ว ก็อย่าได้พูดจาไร้สาระเลย ข้าจะขายหรือไม่ขาย ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลยสักนิดเดียว”

ทว่าเมื่อฉู่หลิงอวี้พูดออกมาเช่นนี้ ทำให้นางนึกขึ้นได้เรื่องที่จะทำการขายผ้าอนามัย

เสี่ยวอานจื่อหันหลังกลับมา และจ้องฉู่หลิงอวี้ด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสูงแหลม “เรื่องบ้าบอของท่านช่างมากมายเสียเหลือเกิน”

“เจ้า...”

ฉู่หลิงอวี้โมโหจนหน้าซีดขาว

เสี่ยวอานจื่อเป็นคนของอินชิงเสวียน นางไม่กล้าสั่งสอนอย่างแน่นอน ทำได้เพียงจ้องท้ายทอยของเสี่ยวอานจื่อด้วยความโกรธเคือง หากมีสักวันที่ข้าได้รับความโปรดปราน แล้วเราจะได้เห็นดีกัน

“เราไปกันเถอะ”

อินชิงเสวียนกระตุกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก

นางมีตำแหน่งเป็นถึงเหยาเฟย จะต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองไว้ บางคำพูดก็ไม่ควรพูดแรงเกินไป โดยเฉพาะอีกฝ่สยเป็นนางสนมที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง คำพูดของเสี่ยวอานจื่อสะท้อนเสียงในใจของนางออกมา ควรค่าแก่การปลูกฝัง

ในระหว่างที่ครุ่นคิด ก็มาถึงยังหอสุ่ยอวิ้นแล้ว

สวีจือย่วนกำลังดีดพิณอยู่กลางลานบ้าน บทเพลงที่บรรเลงก็คือเพลงที่เจ้าของร่างเดิมเป็นผู้ประพันธ์ “ชังความเจ็บปวด”

อินชิงเสวียนยังมีความทรงจำที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ตอนนั้นเจ้าของร่างเดิมได้รู้ว่าเย่จิ่งเย่าจะแต่งงานกับเจียงซิ่วหนิง จึงประพันธ์บทเพลงนี้ขึ้นมาด้วยความท้อแท้ใจ

ต้องขอบอกเลยว่า เจ้าของร่างเดิมมีความสามารถด้านการแต่งเพลงอย่างมาก บทเพลงนี้ไพเราะเสนาะหู แฝงความเศร้าโศกลึกๆ อยู่ในนั้น ซึ่งทำให้ผู้ฟังแล้วรู้สึกเศร้าใจ

เมื่อคิดได้ว่าสวีจือย่วนและอินสิงอวิ๋นก็ไม่ได้ลงเอยกัน จึงเหมาะสมกับความรู้สึกของนาง

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า สวีจือย่วนจึงเงยหน้าขึ้น

พูดขึ้นด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “พระนางเหยาเฟย ท่านมาได้อย่างไร?”

อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “มาเยี่ยมเจ้าอย่างไรเล่า เช้าตรู่ขนาดนี้ เจ้าก็ตื่นมาบรรเลงบทเพลงแสนเศร้า หรือว่ากำลังคิดถึงใครอยู่?”

สวีจือย่วนหน้าแดงเล็กน้อย “มีที่ไหนกันเพคะ”

ตำพูดเหล่านี้ แม้ผู้คนที่อยู่รอบๆ จะได้ยินก็จะคิดว่านางกำลังคิดถึงฝ่าบาท สวีจือย่วนก็ไม่ได้ปิดบังอะไร

อินชิงเสวียนพูดหยอกล้อ “ดูท่าทางของเจ้าแล้ว คงคิดถึงจริงๆ สินะ”

ใบหน้าของสวีจือย่วนแดงขึ้นมาก

“เหนียงเหนียงอย่าได้พูดเล่นสิเพคะ พวกเราเข้าด้านในกันเถอะ”

“ได้สิ”

อินชิงเสวียนส่งเสี่ยวหนานเฟิงให้แก่อวิ๋นฉ่าย จากนั้นก็ตามสวีจือย่วนเข้าไปในตำหนักด้วยกัน

เมื่อนั่งลงแล้ว อินชิงเสวียนก็ถามขึ้นว่า “เมื่อคืน... คือเขาใช่ไหม?”

สวีจือย่วนหรี่ตาลง นิ้วมือกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น และพยักหน้าเบาๆ

“อืม”

อินชิงเสวียนถอนหายใจ

“ข้าพบเขาที่ถนนเทียนเจียตอนกลางวัน และเดาได้ว่าเขาอาจจะเข้ามาในวัง ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะตามมาด้วย เจ้าได้เตือนเขาหรือไม่ว่าอย่าได้มาอีก?”

สวีจือย่วนกัดริมฝีปากของตัวเอง “หอสุ่ยอวิ้นตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล และอยู่ติดกับกำแพงวัง อีกทั้งทหารองครักษ์ลาดตระเวนก็มีเพียงแค่สองกลุ่ม จึงไม่น่ามีคนสังเกตเห็นได้”

อินชิงเสวียนเม้มปากยิ้มและพูดว่า “ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้น เจ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน?”

ใบหูของสวีจือย่วนแดงไปหมด และพูดอย่างกระซิบกระซาบ “ข้า... ข้าก็แค่พูดไปเท่านั้น”

อินชิงเสวียนหยักไหล่อย่างทำอะไรไม่ได้

“ช่างเถอะ พี่ใหญ่เขามีวรยุทธสูงส่ง ข้าเป็นห่วงเขามากไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรเขาก็ไม่มีวันเชื่อฟังข้า”

นางเหลือบมองสวีจือย่วนและถามขึ้น “เมื่อคืน... เขาออกไปตอนไหน พวกเจ้าได้พูดอะไรกันหรือไม่?”

“ไม่ได้คุยเพคะ”

เมื่อนึกได้ว่าอินสิงอวิ๋นพูดว่า หากพบคนที่จริงใจ ก็จะยอมยกหัวใจทั้งหมดให้แก่นาง สวีจือย่วนอดที่จะยิ้มออกมาอย่างหวานเยิ้มไม่ได้

อินชิงเสวียนส่ายหัวที่แทบสิ้นฤทธิ์ของตัวเองเล็กน้อย ลุกขึ้นและพูดว่า “ในเมื่อรู้แล้วว่าเจ้าสบายดี ข้าก็วางใจ อีกประเดี๋ยวเสี่ยวหนานเฟิงก้ได้เวลานอนกลางวันแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อนล่ะ”

“เพคะ หากเหนียงเหนียงไม่มีงานยุ่ง ก็มาเล่นที่นี่ได้บ่อยๆ นะเพคะ ในวังตอนนี้... เหนียงเหนียงก็เป็นเหมือนญาติสนิทเพียงคนเดียวของข้า”

แม้ว่าสวีจือย่วนและอินสิงอวิ๋นไม่มีแม้แต่สัญญาต่อกัน แต่นางกลับมองอินชิงเสวียนเป็นน้องสะใภ้ของตัวเอง หากไม่เป็นเช่นนั้น วันนั้นที่มีฝนตกหนัก นางคงไม่ฝ่าพายุฝนเข้าไป และไม่มีทางไปที่ตำหนักจินหวูเพราะความเป็นห่วงนาง

อินชิงเสวียนเข้าใจความหมายของสวีจือย่วน นางก็ปฏิบัติต่อนางเช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ

จึงจับมือของสวีจือย่วนไว้ และตบมือของนางเบาๆ

“ข้ารู้แล้ว หากมีปัญหาอะไร ให้ไปหาข้าที่ตำหนักจินหวู สิ่งใดที่ข้าทำได้ ข้าจะทำให้เจ้าทุกอย่าง”

สวีจือย่วนพูดเสียงอ่อนโยน “ข้าคงไม่มีปัญหาอะไร ขอเพียงข้าไม่ออกไปข้างนอก ก็จะไม่มีความผิดใดเกิดขึ้น ตอนนี้ก็ถึงเวลาเที่ยงแล้ว เหนียงเหนียงกลับก่อนเถอะเพคะ”

“ได้สิ”

อินชิงเสวียนมาถึงด้านนอกตำหนัก รับตัวเสี่ยวหนานเฟิงที่กำลังเล่นสนุกอยู่กับไป๋เสวี่ย

สวีจือย่วนยืนอยู่หน้าประตู ค้อมตัวลงเล็กน้อย เพื่อส่งอินชิงเสวียนจากไป

เมื่อเห็นท่าทีเหนียมอายของนาง ในใจของอินชิงเสวียนก็อดเป็นทุกข์ไม่ได้

นางเป็นคนที่ช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้ ถ้าหากว่าไม่ใช่ บางทีนางอาจขอร้องให้เย่จิ่งอวี้ปล่อยนางออกจากวัง

จึงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ อินชิงเสวียนรีบจ้ำเท้าเดินกลับตำหนักจินหวู

ทันทีที่เดินเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงยายหลี่กำลังพูดคุยกับใครอยู่ เมื่อเข้ามาจึงรู้ว่าเป็นซูฉ่ายเวย

“หลิงเฟยเหนียงเหนียงมาเมื่อไหร่กัน?”

ซูฉ่ายเวยหันหน้ามาพูดว่า “พระนางเหยาเฟยกลับมาแล้ว ข้ากำลังจะไปหาท่านที่หอสุ่ยอวิ้นอยู่พอดี”

อินชิงเสวียนเลิกคิ้ว “หลิงเฟยเหนียงเหนียงมีเรื่องอะไรหรือ?”

“ไม่มีหรอก ข้าเพียงอยากมาเจอท่านเท่านั้น”

ซูฉ่ายเวยจับมืออินชิงเสวียนไว้ด้วยความอบอุ่น และพูดขึ้นเสียงเบา “และยังมีอีกเรื่องที่อยากขอร้องท่าน เมื่อวานตอนที่อาบน้ำ คนรับใช้ทำชาดดอกไม้กลางหน้าผากของข้าหล่นโดยไม่ระวัง จึงอยากมาขอใหม่อีกสักดอกหนึ่ง”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์