อินชิงเสวียนยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ซื้อขาย ซื้อขาย ถ้าไม่มีคนซื้อ จะมีคนขายได้อย่างไร สนมฉู่ก็เคยได้รับผลประโยชน์ด้วยไม่ใช่หรือ แค่ไม่กี่วันก็ลืมแล้วงั้นหรือ?”
ฉู่หลิงอวี้กระแอมไอเสียงแห้งและพูดว่า “อย่างไรผู้อื่นก็ซื้อด้วยเช่นกัน เหตุใดข้าจะซื้อบ้างไม่ได้”
น้ำเสียงของอินชิงเสวียนเย็นชา และพูดออกมาทีละคำ “ในเมื่อซื้อไปแล้ว ก็อย่าได้พูดจาไร้สาระเลย ข้าจะขายหรือไม่ขาย ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลยสักนิดเดียว”
ทว่าเมื่อฉู่หลิงอวี้พูดออกมาเช่นนี้ ทำให้นางนึกขึ้นได้เรื่องที่จะทำการขายผ้าอนามัย
เสี่ยวอานจื่อหันหลังกลับมา และจ้องฉู่หลิงอวี้ด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสูงแหลม “เรื่องบ้าบอของท่านช่างมากมายเสียเหลือเกิน”
“เจ้า...”
ฉู่หลิงอวี้โมโหจนหน้าซีดขาว
เสี่ยวอานจื่อเป็นคนของอินชิงเสวียน นางไม่กล้าสั่งสอนอย่างแน่นอน ทำได้เพียงจ้องท้ายทอยของเสี่ยวอานจื่อด้วยความโกรธเคือง หากมีสักวันที่ข้าได้รับความโปรดปราน แล้วเราจะได้เห็นดีกัน
“เราไปกันเถอะ”
อินชิงเสวียนกระตุกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก
นางมีตำแหน่งเป็นถึงเหยาเฟย จะต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองไว้ บางคำพูดก็ไม่ควรพูดแรงเกินไป โดยเฉพาะอีกฝ่สยเป็นนางสนมที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง คำพูดของเสี่ยวอานจื่อสะท้อนเสียงในใจของนางออกมา ควรค่าแก่การปลูกฝัง
ในระหว่างที่ครุ่นคิด ก็มาถึงยังหอสุ่ยอวิ้นแล้ว
สวีจือย่วนกำลังดีดพิณอยู่กลางลานบ้าน บทเพลงที่บรรเลงก็คือเพลงที่เจ้าของร่างเดิมเป็นผู้ประพันธ์ “ชังความเจ็บปวด”
อินชิงเสวียนยังมีความทรงจำที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ตอนนั้นเจ้าของร่างเดิมได้รู้ว่าเย่จิ่งเย่าจะแต่งงานกับเจียงซิ่วหนิง จึงประพันธ์บทเพลงนี้ขึ้นมาด้วยความท้อแท้ใจ
ต้องขอบอกเลยว่า เจ้าของร่างเดิมมีความสามารถด้านการแต่งเพลงอย่างมาก บทเพลงนี้ไพเราะเสนาะหู แฝงความเศร้าโศกลึกๆ อยู่ในนั้น ซึ่งทำให้ผู้ฟังแล้วรู้สึกเศร้าใจ
เมื่อคิดได้ว่าสวีจือย่วนและอินสิงอวิ๋นก็ไม่ได้ลงเอยกัน จึงเหมาะสมกับความรู้สึกของนาง
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า สวีจือย่วนจึงเงยหน้าขึ้น
พูดขึ้นด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “พระนางเหยาเฟย ท่านมาได้อย่างไร?”
อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “มาเยี่ยมเจ้าอย่างไรเล่า เช้าตรู่ขนาดนี้ เจ้าก็ตื่นมาบรรเลงบทเพลงแสนเศร้า หรือว่ากำลังคิดถึงใครอยู่?”
สวีจือย่วนหน้าแดงเล็กน้อย “มีที่ไหนกันเพคะ”
ตำพูดเหล่านี้ แม้ผู้คนที่อยู่รอบๆ จะได้ยินก็จะคิดว่านางกำลังคิดถึงฝ่าบาท สวีจือย่วนก็ไม่ได้ปิดบังอะไร
อินชิงเสวียนพูดหยอกล้อ “ดูท่าทางของเจ้าแล้ว คงคิดถึงจริงๆ สินะ”
ใบหน้าของสวีจือย่วนแดงขึ้นมาก
“เหนียงเหนียงอย่าได้พูดเล่นสิเพคะ พวกเราเข้าด้านในกันเถอะ”
“ได้สิ”
อินชิงเสวียนส่งเสี่ยวหนานเฟิงให้แก่อวิ๋นฉ่าย จากนั้นก็ตามสวีจือย่วนเข้าไปในตำหนักด้วยกัน
เมื่อนั่งลงแล้ว อินชิงเสวียนก็ถามขึ้นว่า “เมื่อคืน... คือเขาใช่ไหม?”
สวีจือย่วนหรี่ตาลง นิ้วมือกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น และพยักหน้าเบาๆ
“อืม”
อินชิงเสวียนถอนหายใจ
“ข้าพบเขาที่ถนนเทียนเจียตอนกลางวัน และเดาได้ว่าเขาอาจจะเข้ามาในวัง ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะตามมาด้วย เจ้าได้เตือนเขาหรือไม่ว่าอย่าได้มาอีก?”
สวีจือย่วนกัดริมฝีปากของตัวเอง “หอสุ่ยอวิ้นตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล และอยู่ติดกับกำแพงวัง อีกทั้งทหารองครักษ์ลาดตระเวนก็มีเพียงแค่สองกลุ่ม จึงไม่น่ามีคนสังเกตเห็นได้”
อินชิงเสวียนเม้มปากยิ้มและพูดว่า “ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้น เจ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน?”
ใบหูของสวีจือย่วนแดงไปหมด และพูดอย่างกระซิบกระซาบ “ข้า... ข้าก็แค่พูดไปเท่านั้น”
อินชิงเสวียนหยักไหล่อย่างทำอะไรไม่ได้
“ช่างเถอะ พี่ใหญ่เขามีวรยุทธสูงส่ง ข้าเป็นห่วงเขามากไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรเขาก็ไม่มีวันเชื่อฟังข้า”
นางเหลือบมองสวีจือย่วนและถามขึ้น “เมื่อคืน... เขาออกไปตอนไหน พวกเจ้าได้พูดอะไรกันหรือไม่?”
“ไม่ได้คุยเพคะ”
เมื่อนึกได้ว่าอินสิงอวิ๋นพูดว่า หากพบคนที่จริงใจ ก็จะยอมยกหัวใจทั้งหมดให้แก่นาง สวีจือย่วนอดที่จะยิ้มออกมาอย่างหวานเยิ้มไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...