สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 26

สรุปบท บทที่ 26 ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์

สรุปเนื้อหา บทที่ 26 ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี – สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ โดย GoodNovel

บท บทที่ 26 ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี ของ สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ ในหมวดนิยายโรแมนติก เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย GoodNovel อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

อินชิงเสวียนกลับขึ้นไปนอนบนเตียง แต่แล้วก็นอนไม่หลับอีก

เธอปวดหัวอย่างรุนแรง ไม่ต้องบอกว่าทรมานขนาดไหน

เมื่อก่อนมักจะได้ยินคุณย่าพูดว่านอนหลับมันทรมาน อินชิงเสวียนคิดว่าแกคงพูดเกินจริง ตอนนี้เมื่อประสบกับตัวเองโดยตรงถึงรู้ว่าเกือบตาย

เธอนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงทั้งวัน ข้าวก็แทบจะไม่ได้กิน ทุกข์ทรมานจนดวงอาทิตย์ลับของฟ้า เมื่ออากาศเริ่มเย็นขึ้นอินชิงเสวียนจึงรู้สึกง่วง

อวิ๋นฉ่ายอยากถามเธอว่าคืนนี้จะออกไปข้างนอกหรือไม่ แต่เมื่อเห็นพระสนมของตนดูท่าทางไม่ค่อยดี จึงกลืนเอาคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาลงท้องไป

อินชิงเสวียนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นวันรุ่งขึ้นที่ท้องฟ้าสว่างไสวแล้ว

เธอบิดขี้เกียจอย่างสบาย ๆ แต่ในใจยังคงรู้สึกกระวนกระวายอยู่

การนอนไม่หลับนั้นมันทรมานราวเหมือนจะตายเลยจริง ๆ

เมื่อเจ้าหมาน้อยได้ยินเสียงแม่ของเขา ก็ร้องอุแว้ ๆ ขึ้นมาทันที

อินชิงเสวียนเดินออกไปที่ห้องด้านนอก แล้วอุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นมา

ดูเหมือนเจ้าหมาน้อยจะรู้จักแม่ของเขาแล้ว กวัดแกว่งมือเท้าด้วยความดีใจ หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ดวงตาสีเข้มของเขาโค้งมนราวกับพระจันทร์เสี้ยวเล็ก ๆ สองอัน อินชิงเสวียนมองอย่างอารมณ์ดี หอมเข้าที่ใบหน้ากลมฟอดใหญ่

เจ้าหมาน้อยส่ายหัวน้อย ๆ ของตัวเอง แล้วกัดเข้าที่ใบหน้าของเธอ อินชิงเสวียนร้องอุ๊ย เจ้าหมาน้อยถูกล้อจนหัวเราะออกมาอีก

"เจ้าตัวยุ่งเอ๊ย"

อินชิงเสวียนจิ้มบนหน้าผากของเขา ลูกมนุษย์นี่มันน่ารักจริงเชียว!

เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนอารมณ์แจ่มใสขึ้นไม่น้อย ยายหลี่ถึงได้รู้สึกวางใจ

"พระสนมเพิ่งจะให้กำเนิดพระโอรส จึงเกิดความวิตกกังวลได้ง่าย ต่อไปอย่าคิดอะไรเหลวไหลอีกนะเพคะ"

อินชิงเสวียนยิ้มอย่างไม่มีพิษไม่มีภัย "รู้แล้วน่า"

เล่นได้สักพัก เจ้าหมาน้อยก็ได้เวลาดื่มนมอีกแล้ว

อินชิงเสวียนส่งเขาให้กับยายหลี่ จากนั้นจึงเข้าไปในมิติเพื่ออาบน้ำ และถือโอกาสเข้าไปดูต้นกล้าของเธอ

ในเวลานี้ ตำหนักเฉิงเทียนกลับตกอยู่ในความวุ่นวาย

เย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาราวกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง

ขันทีกลุ่มหนึ่งคุกเข่าลงบนพื้นตัวสั่นเทา

เมื่อคืนหลี่เต๋อฝูและขันทีหนุ่มกลุ่มหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่าใกล้ ๆ พวกเขาทนนั่งถูกยุงกัดทั้งคืนเพื่อเฝ้าดูขันทีหนุ่มที่ฝ่าบาทพูดถึง

แต่ทว่า อินชิงเสวียนกลับไม่ได้ออกมา

รอจนถึงดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่เห็นแม้แต่เงา เย่จิ่งอวี้จึงหมดความอดทน

เจ้าสารเลวคนนี้ ปล่อยให้เขารอเก้ออีกแล้ว

แม้ว่าอินชิงเสวียนจะเคยอธิบายโครงสร้างของสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นให้เขาฟังแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด เขาจึงยังไม่ค่อยเข้าใจนัก เมื่อวานตั้งใจว่าจะถาม แต่กลับถูกไป๋เสวี่ยเข้ามารบกวน วันนี้ต้องมานั่งตากยุงทั้งคืน แต่ขันทีหนุ่มคนนั้นกลับไม่ปรากฏตัว

หรือว่าจะตกใจกลัวไป๋เสวี่ย?

แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ ไป๋เสวี่ยดูจะรักใคร่เขาอยู่มากทีเดียว

แต่เมื่อนึกถึงไป๋เสวี่ยที่ถูกกลั่นแกล้งจนตัวดำปี๋ คิ้วรูปดาบของเขาก็ขมวดขึ้นทันที

หรือว่าคนที่แกล้งไป๋เสวี่ยทั้งสองครั้งนั้นก็คือเจ้าบ่าวไพร่คนนี้เองหรือ?

เมื่อถึงได้ถึงตรงนี้ ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็ค่อย ๆ ฉายแววดุดันขึ้น

"หลี่เต๋อฝู"

"กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ"

หลี่เต๋อฝูกึ่งวิ่งกึ่งคลานออกมาจากป่า ตุ่มสีแดงขนาดใหญ๋บนจมูกสะดุดตาเป็นพิเศษ

เย่จิ่งอวี้ไม่มีอารมณ์จะมองดูเขา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "ไปเรียกขันทีในวังทั้งหมดออกมาเดี๋ยวนี้"

หลี่เต๋อฝูตกตะลึง

"ฝ่าบาท ขันทีทั้งหมดในวัง ถ้าไม่ใช่จำนวนหนึ่งพัน ก็คงอย่างน้อยเจ็ดแปดร้อยคน ฝ่าบาททรงต้องการ....."

เย่จิ่งอวี้จ้องเขาเขม็ง หลี่เต๋อฝูหยุดพูดทันที

จากนั้นหันกลับไปออกคำสั่งกับคนด้านหลัง "นำคำสั่งไปแจ้งให้ขันทีทั้งหมดมาที่ตำหนักฉงหวู่เดี๋ยวนี้"

ทันทีที่มีคำสั่งออกไป ทุกวังทุกตำหนักก็โกลาหลขึ้นมาทันที

ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฮ่องเต้ ที่เรียกให้ขันทีทุกคนมารวมตัวกันที่ตำหนักฉงหวู่กลางดึกเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามขึ้น เมื่อแจ้งให้สนมของตนทราบแล้ว ทุกคนต่างก็รีบวิ่งไปยังตำหนักฉงหวู่โดยไม่รอช้า

ไทเฮากำลังจะเข้านอนเมื่อได้ยินเสียงวุ่นวายอยู่ข้างนอก จึงอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้

เย่จิ่งอวี้คำรามเสียงต่ำ "เงยหน้าขึ้น"

บรรดาขันทีต่างเงยหน้าขึ้น แต่กลับไม่กล้ามองดูหน้าฮ่องเต้ ดวงตาของพวกเขาเหม่อลอยไม่รู้ว่าจะมองไปที่ไหนดี

เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงและหันไปมองหน้าทุกคนทีละคน ไม่ต้องดูอย่างละเอียดก็รู้ว่าใบหน้าของเจ้าทาสรับใช้คนนั้นไม่อยู่ในหมู่พวกเขา

ผิวของเขาขาวราวกับแสงเดือน หากอยู่ท่ามกลางฝูงชนเหล่านี้ จะต้องโดดเด่นขึ้นมาอย่างแน่นอน

"แน่ใจว่าทุกคนมารวมกันที่นี่แล้วอย่างนั้นหรือ?" เย่จิ่งอวี้ถามขึึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

หลี่เต๋อฝูรีบตะโกนสุดเสียง "ไปตรวจสอบให้ถี่ถ้วน ว่าแต่ละตำหนักมีใครหายไปหรือไม่ หากกล้าโป้ปดต้องหัวหลุดออกจากบ่า"

บรรดาขันทีมองหน้ากันทันที แต่ต่างก็ส่ายศีรษะ

เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วทันที หรือว่าเจ้าทาสรับใช้สมควรตายนั่นจะออกจากวังไปแล้ว?

ในขณะที่คิดเรื่องนี้อยู่ จู่ ๆ ก็ได้กลิ่นหอมฉุนลอยมา ก็เห็นลู่จิ้งเสียนเดินสะบัดเอวเข้ามา

ย่อตัวลงพูดขึ้นว่า "ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาทเรียกพวกบ่าวไพร่พวกนี้มามีเรื่องอันใดกันหรือเพคะ?"

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเสียนเฟย กลับไปซะ"

ลู่จิ้งเสียนผงะ หน้าแดงทันที

ฮ่องเต้ไม่ไว้หน้านางสักนิด กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าพวกบ่าวไพร่

นางก้าวไปข้างหน้าอย่างดื้อดึง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน "ฝ่าบาททรงเหน็ดเหนื่อยกับงานราษฎร์ทั่วแคว้น ไม่เห็นจำเป็นต้องมากังวลกับเรื่องในตำหนักต่าง ๆ เลยเพคะ มีเหตุอันใดก็ทรงให้หม่อมฉันดูแลเถอะเพคะ"

เย่จิ่งอวี้สะบัดเสื้อคลุมแล้วเดินลงไปจากบันไดหินโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมองลู่จิ้งเสียน

"ให้พวกเขากลับไป"

ลู่จิ้งเสียนมองดูแผ่นหลังของเย่จิ่งอวี้ และกระทืบเท้าด้วยความโกรธ

"ฝ่าบาท!"

หลี่เต๋อฝูกระซิบ "พระสนมก็อย่าเรียกอีกเลย ไม่เห็นหรือพ่ะย่ะค่ะว่าฝ่าบาททรงอารมณ์ไม่ดี"

ยังพูดไม่ทันขาดคำ เย่จิ่งอวี้ก็หยุดเดิน

"หลี่เต๋อฝูไปเรียกสนมจากหอฉงฮวาออกมา"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์