ฟางรั่วยิ้มอย่างเหยียดหยาม แล้วกล่าวว่า “หญิงงาม เงินตรา และความอ่อนละมุนของสตรี บุรุษใดบ้างจะปฏิเสธได้”
อินชิงเสวียนพูดอย่างหนักแน่น “พี่ใหญ่ของข้าไม่ใช่คนแบบนั้น”
ฟางรั่วพูดประชด “แล้วเจ้าคิดว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนอย่างไร ซื่อสัตย์กล้าหาญ ยอมตายดีกว่ายอมจำนน? เฮอะ เขาเป็นเพียงคนขี้ขลาดที่ใช้ชีวิตอย่างไร้เกียรติเท่านั้น”
อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว อินสิงอวิ๋นเป็นกบฏจริงๆ เพราะเหตุนี้งั้นหรือ
ไม่ใช่
หากเขาเป็นเช่นนี้จริง เจียงวูก็ส่งตัวเขากลับมาเลยสิ จะส่งอ๋องจอมปลอมมาทำไม
“คนเลวทรามต่ำช้าอย่างพวกเจ้าคงทำอะไรกับเขาแน่ๆ”
ฟางรั่วแค่นเสียงพูดว่า “เจ้ายกย่องเขามากเกินไปแล้ว คนตระกูลอินเป็นเพียงคนที่โลภกลัวความตายเท่านั้นแหละ”
อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าพยายามยั่วให้ข้าโกรธอยู่งั้นหรือ”
ฟางรั่วพูดอย่างเย็นชา “แล้วอย่างไร ข้าไม่ชอบขี้หน้าเจ้า”
อินชิงเสวียนยักไหล่ “คนที่ไม่ชอบขี้หน้าข้ามีเยอะแยะ มีเจ้าเพิ่มอีกคนจะเป็นไรไป”
จากนั้นก็หันกลับมาแล้วถามว่า “นี่ นายท่านของเจ้าคงน่าเกลียดมากกระมัง ไม่งั้นทำไมต้องใส่หน้ากากเป็นพี่ใหญ่ของข้าอยู่อีก”
ฟางรั่วโกรธทันที พูดด้วยโทสะว่า “หุบปาก นายท่านของข้าได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วนว่าเป็นบุรุษรูปงามที่สุด แม้แต่พี่ใหญ่ของเจ้าก็ยังเทียบเขาไม่ได้”
อินชิงเสวียนแค่นเสียงชิ และพูดว่า “แม้แต่โฉมหน้าที่แท้จริงของเขายังไม่กล้าเปิดเผยเลย ยังกล้าเรียกว่าที่สุด เลิกหยามหยันผู้เชี่ยวชาญอย่างข้าได้แล้ว”
ฟางรั่วพูดอย่างขุ่นเคือง “เจ้าจะไปรู้อะไร เจ้าไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาด้วยซ้ำ”
อินชิงเสวียนไม่มีอะไรทำ จึงแกล้งยั่วให้ฟางรั่วโมโหเล่นๆ
“ทำไมจะไม่เคยเห็นล่ะ ก็อาโฉ่วที่หน้าตาอัปลักษณ์นั่นอย่างไรล่ะ”
ฟางรั่วพูดอย่างเย็นชา “นั่นเป็นเพียงหน้ากากอีกหน้าหนึ่งของนายท่านเท่านั้น”
อินชิงเสวียนกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะเป็นอย่างไร เพราะอย่างไรเขาก็น่าเกลียด”
ฟางรั่วถูกยั่วให้โกรธจนกัดฟันกรอดๆ
“ถ้าเจ้ากล้าพูดอีกคำ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”
อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นพูดว่า “เจ้ากล้ารึ ท่านอ๋องอัปลักษณ์ของพวกเจ้าให้เจ้าดูแลข้าดีๆ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงจะชอบเขามากกระมัง ถ้าเขาพาข้าไปแต่งงานเป็นชายาอ๋องบ้าๆ นั่นที่เจียงวูจริง ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าอีกแล้ว”
นางขยิบตาให้ฟางรั่ว แล้วพูดว่า “มิสู้พวกเรามาปรึกษาหารือกัน ถ้าเจ้าปล่อยข้ากลับวัง นายท่านของพวกเจ้าก็ไม่สามารถเข้ามาใกล้ข้าได้อีก เป็นอย่างไร”
ฟางรั่วแค่นเสียงพูดว่า “ฝันไปเถอะ”
อินชิงเสวียนกลอกตามองบน
“ถ้าเจ้าไม่ชอบฟังเรื่องนี้ ก็ไปคุยเรื่องอื่นดีกว่า”
ฟางรั่วแค่นเสียงหึ และไม่พูดอะไรอีก
“นายท่านของเจ้าชื่ออะไร เป็นอ๋องอะไรของเจียงวู”
ฟางรั่วมองดูนางครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “บอกเจ้าไปก็ไม่เป็นไร นายท่านมีนามว่าอาซือหลาน ที่หมายถึงสิงโตที่กล้าหาญที่สุดบนทุ่งหญ้า พระยศนามว่าถูหย่าลาจี๋เล่อ”
อินชิงเสวียน อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “จาซีเต๋อเล่อ(พระเจ้าอวยพร)”
ฟางรั่วตกใจเล็กน้อย “เจ้าพูดภาษาของเราได้?”
จิ๊ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือ
ที่แท้เจียงวูในสมัยนี้ก็คือชนเผ่าทิเบตในสมัยปัจจุบัน
คิดว่านี่คงยังเป็นยุคที่แตกแยกไม่เป็นเอกภาพเดียวกัน
แต่พอลองนึกดูอีกที ที่นี่เป็นเพียงแว่นแคว้นสมมติ ไม่สามารถใช้ข้อมูลในสมัยปัจจุบันไปตรวจสอบได้
อินชิงเสวียนไอแห้งๆ พูดอย่างเขินๆ “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าพูดได้แค่คำนี้เท่านั้น”
แต่ฟางรั่วกลับคิดว่า ต่อไปถ้าจะพูดอะไรต้องระมัดระวังไว้หน่อย ประเดี๋ยวหญิงผู้นี้จะแอบฟังได้
ในขณะที่ทั้งสองต่างคนต่างคิดอยู่นั้น เสียงฝีเท้าก็ดังแว่วเข้ามา
มีเสียงลั่นดังเอี๊ยดที่ประตู แล้วอาซือหลานที่แปลงโฉมเป็นอินสิงอวิ๋นก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
ฟางรั่วกล่าวอย่างนอบน้อม “นายท่าน”
อาซือหลานโบกมือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...