หลังจากออกจากตำหนักเฉิงเทียนแล้ว ไทเฮาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ
“ข้าได้ยินมาว่าเย่จิ่งอวี้ไม่เพียงแต่ถูกแทงที่ส่วนสำคัญเท่านั้น แต่ที่มีดสั้นยังอาบยาพิษไว้อีกด้วย คราวนี้เขาหนีความตายไม่พ้นแน่ โอกาสหายากเช่นนี้ เจ้าต้องใช้ป้ายทองที่เสด็จพ่อเจ้าทิ้งไว้ให้ทันที ให้เย่จั้นเคลื่อนทัพเพื่อเจ้า”
เย่จิ่งเย่าพูดอย่างขมขื่น “ถ้ายังมีป้ายตราคำสั่งอยู่ ลูกคงเอาออกมานานแล้ว หลายวันก่อนจวนอ๋องถูกขโมย ป้ายตราคำสั่งก็ถูกขโมยไปด้วย”
ไทเฮาหยุดเดิน ถามด้วยความโกรธว่า “อะไรนะ ของสำคัญเช่นนี้กลับถูกขโมยไปแล้วหรือ”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่จิ่งเย่าก็อารมณ์เสียเช่นกัน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “จะให้ข้าแขวนป้ายคำสั่งทองไว้รอบคอได้ทุกวันได้อย่างไร องครักษ์เงาของเย่จิ่งอวี้ทำตัวลึกลับซับซ้อน จะต้องเป็นฝีมือของพวกเขาแน่ๆ”
ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิว่า “เจ้าคนไม่เอาไหน ข้าอุตส่าห์รอมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มีโอกาสแล้ว เจ้ากลับทำป้ายทองนั้นหาย?”
เย่จิ่งเย่าพูดอย่างฉุนเฉียว “ข้าก็ไม่อยากทำหาย แต่ตอนนี้ได้หายไปแล้ว ข้าจะทำอย่างไรได้”
ไทเฮาจ้องมองเขาอย่างดุเดือด ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มอีกครั้ง “ไม่ว่าองครักษ์เงาของเย่จิ่งอวี้จะเก่งกาจเพียงใด แต่ก็มีช่วงเวลาที่หละหลวมอยู่เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกแทงมา ตอนนี้เขามีทายาทเพียงคนเดียวเท่านั้น ก็คือเจ้าเด็กเปรตจากตำหนักจินหวู ถ้าเขาตาย บัลลังก์ก็จะตกเป็นของเจ้า”
เย่จิ่งเย่ากล่าวว่า “ตำหนักจินหวูได้รับการคุ้มกันแน่นหนาจากทหารรักษาพระองค์มาโดยตลอด พวกเราจะบุกเข้าไปอย่างนั้นหรือ”
ไทเฮาหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “คงไม่ต้อง พวกเราจะใช้อุบายยืมดาบฆ่าคน เรื่องนี้ข้ามีแผนอยู่แล้ว”
เมื่อไทเฮากล่าวเช่นนั้นแล้ว เย่จิ่งเย่าก็ไม่สนใจที่จะใช้สมองอีก
“เช่นนั้นลูกขอไปงีบหลับก่อน ถ้ามีอะไร เสด็จแม่ค่อยมาเรียกข้า”
เมื่อเห็นเย่จิ่งเย่าหาวครั้งแล้วครั้งเล่า ไทเฮาก็รู้สึกเกลียดที่ไม่ได้ดั่งใจ แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่คือลูกชายของนางเอง นางจึงทนไม่ได้ที่จะตำหนิเขาอย่างรุนแรง จึงพูดว่า “ไปเถอะ ข้าจะไปหาสวีจือย่วน”
หลังจากที่ไทเฮาพูดจบ ก็พาชุยไห่และนางกำนัลหลายคนไปที่หอสุ่ยอวิ้น
ส่วนเย่จั้นได้ย้ายทหารหน่วยเปลวเพลงสีชาดทั้งหมดไปที่ตำหนักเฉิงเทียน
หมอหลวงยังคงคุกเข่าอยู่ในห้องโถง แต่ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้นั้นซีดขาวราวกับกระดาษ ลมหายใจแผ่วเบา
เมื่อเห็นเย่จั้นเดินเข้าประตูมา ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าร้องไห้
“ท่านอ๋อง ฝ่าบาทเขา เกรงว่าเขาจะไม่ไหวแล้ว”
เย่จั้นตะโกนอย่างโกรธจัดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “หุบปาก ฝ่าบาทจะต้องไม่เป็นไรแน่นอน ไม่ว่าจะต้องใช้ทักษะใด พวกเจ้าจงใช้ให้หมด หากสามารถรักษาให้มีชีวิตอยู่ได้วันหนึ่งก็ยังดี ข้าจะลองหาทางอื่น”
หมอหลวงเหลียงตอบรับเสียงสั่น จากนั้นก็เช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง เละทำการฝังเข็มให้กับเย่จิ่งอวี้
เมื่อเห็นว่าการกระเพื่อมขึ้นลงของทรวงอกของเย่จิ่งอวี้เริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ เย่จั้นก็ไม่กล้าที่จะรออีกต่อไป เขาออกคำสั่งกับทหารหน่วยเปลวเพลงสีชาด แล้วเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง
ไป๋เสวี่ยส่งเสียงครางหงิงๆ หมุนตัวไปรอบๆ ห้องโถงอย่างกระสับกระส่าย
เย่จั้นกล่าวว่า “เจ้าได้ติดตามฝ่าบาทมาหลายปีแล้ว น่าจะแสนรู้อยู่บ้าง ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้าตามข้าออกจากวัง ไประบุตัวอินชิงเสวียน เจ้ายินดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินชื่อ ‘อินชิงเสวียน’ ดวงตาของไป๋เสวี่ยก็เป็นประกายสว่างขึ้น มันเห่าบอกเย่จั้น จากนั้นก็กระดิกหางอย่างบ้าคลั่ง
“ถ้าเข้าใจก็ตามข้ามา”
อินชิงเสวียนบอกว่านางอาจจะช่วยเย่จิ่งอวี้ได้ ตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ทำได้แค่ต้องลองดู
เมื่อตัดสินใจแล้ว เย่จั้นก็รีบออกจากวังพร้อมกับเจ้าสุนัขโดยไม่ชักช้าอีกต่อไป
ณ จวนจิ้งอ๋อง
อินชิงเสวียนถูกมัดไว้กับเสาหินในลานบ้าน ตอนนี้รู้สึกเวียนหัว
นางไม่กล้านอน เพราะกลัวว่าถ้าหลับตานางจะไม่สามารถตื่นได้
นางต้องกลับไปช่วยเย่จิ่งอวี้ นางมีน้ำพุวิญญาณ จะต้องสามารถช่วยเขาได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงจากมิตินั้นทรงพลังมาก อินชิงเสวียนไม่สามารถควบคุมความง่วงอันเกิดจากความเหนื่อยล้าได้เลย นางทำได้เพียงกัดริมฝีปากแรงๆ ใช้ความเจ็บปวดเพื่อควบคุมความง่วงนอนของตัวเอง
กลิ่นคาวเลือดยังคงไหลเข้าปากไม่หยุด แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลมากนัก ขณะที่อินชิงเสวียนกำลังจะหลับไป เงาร่างสีขาวก็รีบวิ่งเข้ามาในลานเรือน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...