“ฮะ!”
อินชิงเสวียนอุทานอย่างอดไม่ได้
“แล้วตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เย่จั้นพูดด้วยใบหน้าเหยเกอย่างเจ็บปวด “ลมหายใจรวยริน”
ดวงตาของอินชิงเสวียนแดงก่ำด้วยความวิตกกังวล นางยื่นมือออกมาจับแขนเสื้อของเย่จั้น
“แล้วเหตุใดถึงต้องรอจนฟ้ามืดเล่า ท่านอ๋องไม่กลัวเกิดเหตุร้ายขึ้นกับฝ่าบาทหรือ”
เย่จั้นพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ตอนนี้เจ้าคือนักโทษคนสำคัญที่ลอบสังหารฝ่าบาท ในเมื่อไทเฮารู้เรื่องนี้แล้ว คิดว่าอีกไม่นานเหล่าขุนนางก็จะทราบเรื่อง หากเจ้าถูกใครพบตัวในเวลานี้ จะมีไม่มีทางรอดแน่นอน แม้ว่าฝ่าบาทจะดีต่อเจ้า แต่ก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้”
อินชิงเสวียนเซไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จนเกือบจะล้มลงกับพื้น
ในตอนนี้นางเกลียดอาซือหลานมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะเขา นางคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้
เมื่อก่อนนางเห็นเขาเป็นพี่ใหญ่มาโดยตลอด สุดท้ายแล้วความรักทั้งหมดที่มอบให้กลับมอบให้สุนัขเสียได้
เมื่อนึกถึงสุนัข อินชิงเสวียนก็ฉุกนึกถึงบางอย่างได้
ครั้งล่าสุดที่ได้เจออาโฉ่ว ไป๋เสวี่ยก็ดูใกล้ชิดเขามากเป็นพิเศษ
ในเวลานั้นคิดว่าไป๋เสวี่ยดมกลิ่นรู้ว่าเขาเป็นญาติของนาง แต่ตอนนี้อยู่ๆ อินชิงเสวียนก็ถึงบางอ้อ ไป๋เสวี่ยเป็นสุนัขของเจียงวู จึงได้กลิ่นเจียงวูจากตัวเขา หรือไม่งั้นไป๋เสวี่ยก็คงเป็นลูกสุนัขที่วิ่งหายจากราชวงศ์เจียงวูมาก็ได้ ฉะนั้นจึงยังจำกลิ่นของพวกเขาได้
บางทีนี่อาจเป็นจุดที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ก็ได้ ด้วยประสาทการรับกลิ่นที่ไวมากของไป๋เสวี่ย ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถตามหาอ๋องขยะผู้นั้นได้
แต่ทั้งหมดนี้ต้องเอาไว้ว่ากันภายหลัง ตอนนี้ต้องช่วยชีวิตเย่จิ่งอวี้ให้ได้ก่อน
นางจับเสาหินเพื่อช่วยพยุงตัวยืน ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะได้กลับมาอีกแล้ว
อินชิงเสวียนเอื้อมมือออกไปหยิบดาบบนพื้น เย่จั้นก็ถอยหลังทันที แต่กลับเห็นนางใช้ดาบนั้นเฉือนแขนของตัวเองอย่างเลือดเย็น
เมื่อเห็นเลือดพุ่งกระฉูดออกมา เย่จั้นก็ตกตะลึง
“เจ้ากำลังทำอะไร”
อินชิงเสวียนหายใจเฮือกด้วยความเจ็บปวด กัดฟันพูดว่า “พลังยุทธ์ของข้าไม่ใช่ท่านพ่อเป็นคนสอน แต่ข้าเรียนรู้มาจากผู้อื่น ข้ารู้แค่พลังภายในเท่านั้น ทว่าหลังใช้ทุกครั้งก็จะหมดสติ และยากที่จะปลุกให้ตื่น หากไม่ใช่เพราะตอนที่ถูกจับตัวไป ข้าได้ใช้พลังนี้หลายครั้ง คงจะไม่ได้หลับไปนานหลายวัน จนถูกพวกเขาฉวยโอกาสไปเช่นนี้หรอก”
เย่จั้นตกใจมาก
“ในโลกนี้มีพลังยุทธ์ประเภทนี้ด้วยรึ”
อินชิงเสวียนพูดอย่างสงบ “โลกใหญ่ไพศาล ไร้พิสดารไม่มี มีหลายสิ่งที่ไม่สามารถวัดได้จากมุมมองของมนุษย์ธรรมดา”
เย่จั้นตอบอืมในลำคอ แล้วพูดว่า “ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ทำร้ายร่างกายตัวเองเช่นนี้ไม่ได้ ใครก็ได้ มาทำแผลให้พระสนมเหยาเฟยเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องหรอก แผลไม่ใหญ่นัก ไม่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต อีกอย่างรอประเดี๋ยวฟ้าก็มืดแล้ว”
หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็นั่งพิงเสา
ขณะมองดูแขนเสื้อที่เปื้อนเลือดของนาง นัยน์ตาของเย่จั้นก็เป็นประกายราวกับทนไม่ไหว
เขาไล่ทหารออกไปทันที แล้วมายืนเฝ้าอินชิงเสวียนอยู่ข้างๆ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่าเวลาได้หยุดลง
เมื่อแหงนมองดวงอาทิตย์เหนือศีรษะ อินชิงเสวียนเริ่มทนง่วงไม่ไหว
แล้วนางก็แทงตัวเองอีกครั้ง เพื่อให้สมองตื่นตัวอยู่เสมอ
เย่จั้นขมวดคิ้วมุ่น ยื่นมือออกไป แต่แล้วก็ชักมือกลับ
ในตอนที่อินชิงเสวียนกำลังจะลงมือเป็นครั้งที่สาม ในที่สุดเย่จั้นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ถ้าเจ้าเลือดหมดตัวตาย ก็จะกลายเป็นการถูกใส่ความชั่วนิรันดร์อย่างแท้จริง เด็กๆ มาทำแผลให้เหยาเฟยเร็วเข้า และเตรียมชุดเครื่องแบบทหารของหน่วยเปลวเพลิงสีชาดไว้ด้วย”
อินชิงเสวียนมีสีหน้าปีติยินดีในทันใด
“เราเข้าวังได้แล้วงั้นรึ”
เย่จั้นขมวดคิ้วพูดว่า “ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเสียเลือด ยิ่งไม่อยากเห็นเจ้าตาย ไปเปลี่ยนชุดซะ”
หลังจากผ่านเวลาไปราวๆ ดื่มชาหมดถ้วย อินชิงเสวียนและเย่จั้นก็ขึ้นไปบนรถม้า และเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจำได้ อินชิงเสวียนจึงเข้าไปแลกกล่องผงสีดำจากมิติมา แล้วทาใบหน้าของตน ทำให้ดูผิวเข้มแก้มซูบตอบ เช่นเดียวกับทหารทั่วไป
เย่จั้นพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ในเมื่อเจ้าสามารถแปลงโฉมแบบง่ายๆ ได้ ทำไมไม่บอกก่อนหน้านี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...