ซึ่งเวลานี้ ในตำหนักจินหวูกำลังอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
หลายอึดใจก่อน ไทเฮาประกาศว่าอินชิงเสวียนได้ลอบสังหารฝ่าบาท ทุกคนในวังล้วนตกอยู่ในความระแวดระวัง เป็นที่ตื่นตระหนกกันไปทั่วทุกแห่งหน
หรือว่าเรื่องที่ฝ่าบาทจะทำการสังหารหมู่ในตำหนักจินหวู กำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้ว
เดิมทีทุกคนคิดว่าจะสามารถมีวาสนาไปกับเจ้านายที่ได้รับความโปรดปราน แต่ใครจะรู้ว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน พระสนมเหยาเฟยผู้นี้ก็กลายเป็นนักฆ่า แถมยังลอบสังหารฝ่าบาทอีกด้วย
หากฝ่าบาทสิ้นพระชนม์ พวกเขาคงจะถูกตัดหัวแน่
ในวังหลวงแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยคนที่ประจบผู้มีฐานะสูงและเหยียบย่ำผู้ที่ตกต่ำ เมื่อก่อนพวกขันทีนางกำนัลเหล่านี้มีแต่จะมาประจบประแจงยกยอปอปั้นอวิ๋นฉ่าย ยายหลี่ และเสี่ยวอานจื่อ บัดนี้พระสนมเกิดโชคร้าย อยู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกขัดตาขึ้นมาเสียงอย่างนั้น
ตอนแรกเสี่ยวอานจื่ออยากส่งคนไปหาข่าวสักคน แต่กลับไม่สามารถใช้งานใครได้ จึงอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าและสาปแช่งด้วยความโกรธ
ขันทีน้อยต่างก็คิดว่าถึงอย่างไรพวกเขาจะต้องตายกันหมดอยู่แล้ว ไยจึงต้องมาทนกับอารมณ์โมโหร้ายนี้ด้วย จึงไม่ทำตามคำสั่งของเสี่ยวอานจื่อ แถมทั้งหมดยังช่วยกันรุมยำเสี่ยวอานจื่อจนเละ
ส่วนอวิ๋นฉ่ายก็เข้ามาหยุดการวิวาทชกต่อยอยู่ข้างๆ ด้านเสี่ยวหนานเฟิงก็ตกใจจนร้องไห้ ยายหลี่เองก็เป็นกังวลแทบทนไม่ได้ แต่จะปล่อยเด็กไว้ก็ไม่ได้อีก ดังนั้นจึงต้องอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงเข้าไปในห้องโถงด้านใน
ซึ่งการปลอบใจเพียงอย่างเดียวคือ ไป๋เสวี่ยติดตามยายหลี่อยู่ข้างๆ ตลอด ดวงตาสุนัขสีเข้มจ้องมองที่เสี่ยวหนานเฟิงอย่างไม่คลาดสายตา
เมื่อเห็นเด็กร้องไห้หนัก ไป๋เสวี่ยก็ยืดตัวขึ้น แล้วเหยียดอุ้งเท้าปุกปุยไปลูบเสี่ยวหนานเฟิงเบาๆ
ทุกคนในตำหนักต่างวุ่นวายประหนึ่งไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน ยายหลี่อึดอัดใจแทบบ้า
เดิมทีทุกอย่างก็เรียบร้อยดี แต่พระสนมแค่ไปหอสุ่ยอวิ้นก็ถูกลักพาตัวไป บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษคนสำคัญเสียอย่างนั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับพระสนม องค์ชายน้อยจะทำอย่างไร!
เมื่อมองดูองค์ชายน้อยที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ยายหลี่ก็รู้สึกหวาดหวั่นระคนเกรงกลัว หัวใจสั่นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้
ขณะที่จิตใจกำลังสับสนวุ่นวายอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงตวาด “พวกเจ้าช่างบังอาจนัก กล้าก่อความวุ่นวายในวังหลัง เบื่อชีวิตแล้วงั้นรึ”
เสี่ยวอานจื่อคลานลุกขึ้นด้วยจมูกและใบหน้าบวมช้ำ แล้วจึงเห็นสวีจือย่วนในสีหน้าเย็นชาทันที
จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ “นายหญิงสวี ท่านมาได้อย่างไรขอรับ”
“ข้ามาหาจ้าวเอ๋อร์”
ดวงตาของสวีจือย่วนกวาดมองทุกคน แล้วตำหนิ “ตอนนี้ไม่รู้ว่าพระสนมจะเป็นหรือตาย พวกเจ้ากลับลงมือตบตีกัน คิดว่าตำหนักจินหวูไม่มีเจ้าของจริงๆ งั้นหรือ”
แม้ว่านางไม่มีตำแหน่ง แต่อย่างน้อยนางก็ยังเป็นนายหญิง ทุกคนคุกเข่าลงบนพื้นทันที ไม่กล้าที่จะส่งเสียงใดๆ
สวีจือย่วนแค่นเสียงพูดว่า “ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร พวกเจ้าห้ามทำลายกฎ ลุกขึ้นเถอะ”
ขันทีน้อยคนหนึ่งบังอาจถามขึ้นว่า “นายหญิง มีข่าวลือว่าพระสนมเหยาเฟยลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท...เป็นเรื่องจริงหรือ”
สวีจือย่วนเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “น่าจะเป็นเรื่องจริงกระมัง”
ขันทีน้อยนั่งลงกับพื้น
“แล้วเราจะยังมีทางรอดอยู่หรือไม่”
นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจมากจนเริ่มร้องไห้
“นายหญิงเจ้าคะ ท่านต้องช่วยพวกเรานะ!”
สวีจือย่วนพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้าจะขอร้องแทนพวกเจ้าเอง ออกไปก่อนเถอะ”
ทุกคนโค้งคำนับขอบคุณทันที อวิ๋นฉ่ายรีบดึงเสี่ยวอานจื่อขึ้นมา แล้วถามด้วยดวงตาแดงก่ำ “นายหญิงสวี แล้วตอนนี้พระสนมของเรา...อยู่ที่ไหน”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
สวีจือย่วนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้านายของพวกเจ้าคงหนีไปแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...