“เจ้ามาได้อย่างไร”
เมื่อเห็นสวีจือย่วน เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
สวีจือย่วนพูดด้วยขอบตาแดงก่ำ “หม่อมฉันได้ยินมาว่าฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัส ในใจรู้สึกกระวนกระวายดั่งไฟแผดเผา วันนี้รู้มาว่าฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว จึงรีบมาเยี่ยมทันที”
เย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ “ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”
สวีจือย่วนก้มหน้ายืนข้างเตียง พูดด้วยความเคารพนบนอบ “ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันให้พ้นจากอันตราย หม่อมฉันย่อมเป็นห่วงพระองค์อยู่แล้ว”
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองนางแวบหนึ่ง “ข้าไม่เป็นไร”
สวีจือย่วนกัดริมฝีปาก แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ จะไม่เป็นไรได้อย่างไร บาดแผลของฝ่าบาทจะต้องเจ็บปวดมากใช่หรือไม่เพคะ”
“ไม่เป็นไร ข้าทนได้”
เย่จิ่งอวี้พิงหมอนนุ่ม เรียวตาหงส์ครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจที่จะพูดคุยมากนัก
สวีจือย่วนลอบมองหน้าเขา แล้วถามว่า “ได้ยินมาว่าคนที่แทงฝ่าบาท...คือพระสนมเหยาเฟย?”
ทันใดนั้นเรียวตายาวของเย่จิ่งอวี้ก็ลืมตาขึ้น แววตาเยียบเย็นขึ้นหลายส่วน
“ไร้สาระ เหยาเฟยจะแทงข้าได้อย่างไร”
เมื่อเกิดความรู้สึกโกรธ เย่จิ่งอวี้ก็เริ่มหอบอีกครั้ง
สวีจือย่วนคุกเข่าข้างเตียงอย่างรวดเร็ว แล้วช่วยเย่จิ่งอวี้ลูบไล้หน้าอกเบาๆ
“ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้ว หม่อมฉันไม่เชื่อว่าพระสนมเหยาเฟยจะทำเช่นนี้ ต้องมีใครบางคนมีเจตนาแอบแฝง ถึงได้สร้างข่าวลือนี้”
เย่จิ่งอวี้หายใจเข้า และพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “เป็นเช่นนั้นจริง ข้าได้รับบาดเจ็บจากนักฆ่า ไม่เกี่ยวอะไรกับเหยาเฟย เจ้ามาจากครอบครัวขุนนาง ควรมีความสามารถในการแยกแยะผิดถูกได้ ไม่ควรคล้อยตามคำพูดของผู้อื่น”
สวีจือย่วนพูดด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่ง “ฝ่าบาทสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว หม่อมฉันจะจดจำไว้”
เย่จิ่งอวี้หลับตาลง
“ดีแล้ว”
ไม่ว่าอินชิงเสวียนจะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ห้ามคนนอกมาใส่ไคล้ทำลายชื่อเสียงเด็ดขาด
ทันใดนั้น ลูกตาขาวตัดกับตาดำชัดเจนของอินชิงเสวียน และใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนางก็แวบเข้ามาในความคิด หัวใจพลันบังเกิดความรู้สึกเจ็บปวดอีกครั้ง
หากรู้ว่าเขายังไม่ตาย นางจะผิดหวังหรือไม่
เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เสด็จอาสิบสามจะต้องตามล่านางไปทุกแห่งหนอย่างแน่นอน และตอนนี้เมืองหลวงถูกปิดแล้ว หลายวันมานี้นางใช้ชีวิตอย่างไร
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หลี่เต๋อฝูก็เข้ามาแจ้งเรื่องให้ทราบ
“ฝ่าบาท พระสนมหลิงเฟยและนายหญิงฉู่มาพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้เริ่มอารมณ์เสีย
ทันทีที่ทหารหน่วยเปลวเพลิงสีชาดถอนกำลังออกไป พวกนางก็ได้ยินช่าวและเข้ามาแล้ว ข่าวไวจริงๆ
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ให้พวกนางเข้ามาทั้งหมดนั่นแหละ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงเฟยก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
นางคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความนอบน้อม และคารวะเย่จิ่งอวี้อย่างเต็มพิธีการ
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันกลับบ้านไปร่วมงานศพได้ พอหม่อมฉันจัดการเรื่องงานศพเสร็จ ก็ได้ข่าวว่าฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บ แต่ก็หาทางมาเข้าเฝ้าไม่ได้ บัดนี้ได้เห็นว่าพระอาการของฝ่าบาททรงดีขึ้นแล้ว หม่อมฉันก็รู้สึกสบายใจแล้ว”
หลังจากประสบกับการตายของบิดา อยู่ๆ ซูฉ่ายเวยก็นิ่งขรึมขึ้นมาก ไม่ใจร้อนเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว ลดการแต่งหน้าแต่งตาหนาๆ ดูน่ามองขึ้นมาก
ฉู่หลิงอวี้ก็คุกเข่าลง พูดด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นว่า “หลายวันนี้หม่อมฉันสวดมนต์ภาวนาให้ฝ่าบาทอยู่ตลอด ตอนนี้เมื่อฝ่าบาทพระอาการดีขึ้นแล้ว คงเป็นความเมตตาของสวรรค์ หม่อมฉันจะสวดมนต์กินเจต่อไป อธิษฐานขอพรจากสวรรค์เบื้องบนอย่างจริงใจ ขอให้พระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์โดยเร็ววัน”
เย่จิ่งอวี้โบกมือ
“พวกเจ้ามีน้ำใจแล้ว ข้าไม่เป็นไร ลุกขึ้นมาเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
สวีจือย่วนเงยหน้าขึ้นมองนาง ประกายในแววตามืดสลัวลึกล้ำ ทำให้คนรู้สึกยากที่จะเข้าใจ
ฉู่หลิงอวี้โบกผ้าเช็ดหน้าเล่นแล้วพูดว่า “ข้าหวังว่านางจะไม่กลับมาตลอดไป”
ซูฉ่ายเวยพูดเสียดสี “ถ้าพระสนมเหยาเฟยไม่อยู่ เจ้าก็สามารถได้รับความโปรดปรานแล้วงั้นสิ เกรงว่าฝ่าบาทจะไม่ชายตาแลด้วยซ้ำ”
หลังจากที่ซูฉ่ายเวยพูดจบ นางก็กลับไปที่หอฉงฮวาของนางทันที
ฉู่หลิงอวี้กระทืบเท้าด้วยความโกรธ พอหันกลับมาก็เห็นสวีจือย่วนมองดูตัวเองอยู่ จึงระบายความโกรธใส่นางทันที
“เจ้ามองอะไร อย่าคิดว่าเพราะฝ่าบาทเคยช่วยเจ้าครั้งหนึ่ง แล้วเจ้าจะอยู่เหนือกว่าผู้อื่น เข้าวังมาก็นานแต่ยังไม่ได้อวยยศด้วยซ้ำ จากนี้ไปก็ปฏิบัติตนอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวด้วยล่ะ อย่าไปเสนอหน้าประจบประแจงฝ่าบาทให้มากนัก ฝ่าบาทช่วยเจ้าเพราะความสนใจชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น อย่าคิดว่าเขาจะชอบเจ้าจริงๆ ฝันให้มันน้อยๆ หน่อย”
ฉู่หลิงอวี้จ้องมองนางอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วก็จากไปพร้อมกับนางกำนัล
สวีจือย่วนกำนิ้วแน่น มองตามทิศทางที่ฉู่หลิงอวี้เดินไปด้วยสายตาเย็นชา พลางคิดในใจว่า เจ้าจะต้องชดใช้คำพูดเหล่านี้อย่างแน่นอน!
แน่นอน!
หานปิงเอื้อมมือไปประคองสวีจือย่วน
“นายหญิง อย่าไปฟังนางพูดจาพล่อยๆ เลยเจ้าค่ะ เรากลับกันเถอะ”
สวีจือย่วนถอนสายตามามองหานปิง แล้วถามว่า “เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะชอบข้าหรือไม่”
หานปิงอึ้งไปชั่วขณะ
รีบพูดขึ้นทันควัน “แน่นอนเจ้าค่ะ นายหญิงงดงามที่สุดในแผ่นดิน แม้ว่าจะไม่ได้แต่งตัว แต่ก็ยังงดงามที่สุดในหมู่ผู้คน ยิ่งกว่านั้นหากฝ่าบาทไม่ชอบนายหญิง คงจะไม่อุ้มนายหญิงมาถึงตำหนักเฉิงเทียน”
สวีจือย่วนถามอีก “แล้วถ้าเทียบกันระหว่างข้ากับอินชิงเสวียนล่ะ ผู้ใดโดดเด่นกว่ากัน”
หานปิงพูดขัดกับความเป็นจริง “แน่นอนว่านายหญิงต้องเหนือกว่า พระสนมอินแค่อาศัยว่าตัวเองมีองค์ชายเท่านั้น”
สวีจือย่วนกระตุกมุมปากขึ้น แล้วหันศีรษะกลับไปมองที่ตำหนักเฉิงเทียน
“เจ้าพูดถูก ถึงเวลาที่ข้าจะมีลูกแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...