สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 282

ณ จวนจิ้งอ๋อง

อินชิงเสวียนล้างผงสีดำออก แล้วผลัดเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษสีฟ้าคราม

นางรวบผมขึ้นด้วยกวานรัดเกล้าทรงสูง ด้านในสวมเสื้อป้ายตัวในสีขาว เมื่อประกอบกับแววตาที่ซ่อนไว้ด้วยความองอาจ ยิ่งทำให้มองไม่เห็นลักษณะเด่นของความเป็นสตรีชัดเจน แต่กลับให้ความรู้สึกของหนุ่มน้อยผู้มีรสนิยมดีที่สวมชุดหรูหรา

เมื่อเทียบกับกระโปรงคาดอกสามชั้น อินชิงเสวียนชอบชุดบุรุษที่ดูสบายตัวมากกว่า

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง เสื้อผ้าสวมใส่ได้พอดี”

นางดึงชายเสื้อคลุมแล้วถามว่า “วันนี้ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”

“ยังดี มื้อเช้าพอกินอะไรได้บ้าง อาการก็ค่อยๆ ฟื้นตัวดัขึ้น”

เย่จั้นวางถ้วยชาลงแล้วพูดอย่างอบอุ่น “ฝ่าบาทฝึกฝนวรยุทธ์สม่ำเสมอทั้งปี สุขภาพดีกว่าคนทั่วไปมาก พระสนมเหยาเฟยไม่ต้องเป็นห่วง”

“ดีแล้ว”

เมื่อนึกถึงใบหน้าที่ซีดเซียวและดวงตาที่ปิดสนิทของเย่‍จิ่ง‍อวี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

“ในเมื่อเขาไม่ว่ามีวิชาแปลงโฉม เกรงว่าคงเป็นการยากที่จะขจัดความสงสัยในตัวข้า”

เย่จั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นั่นไม่เป็นความจริงเลย ข้าเห็นว่าฝ่าบาทไม่ได้ลืมความรักที่มีต่อเจ้าเพราะเหตุนี้เลย เพียงแต่เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้ในทันทีทันใด หากต้องการทำให้เขาเชื่อก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก ตราบใดที่เราหาตัวคนทำหน้ากากได้ ความจริงทุกอย่างก็จะเปิดเผยเอง”

อินชิงเสวียนขมวดคิ้วพูดว่า “ข้ารู้แค่ว่าชายคนนั้นมีนามว่าหวังซุ่น เขามีรูปร่างเตี้ยใบหน้าอัปลักษณ์ แต่ข้าไม่รู้ว่าจะไปตามหาเขาได้จากที่ไหน”

เมื่ออินชิงเสวียนพูดถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงเรื่องอื่นได้ทันที

“วันนั้นข้าได้ยินมาว่าพวกเขาไม่เพียงต้องการโจมตีฝ่าบาทเท่านั้น แต่ยังต้องการลอบสังหารท่านอ๋องและจอมพลกวนด้วย ขอให้ท่านอ๋องส่งคนไปแจ้งจอมพลกวนให้เขาระวังตัว อย่าติดกับดักแผนการของศัตรู”

เย่จั้นตอบรับอืมเบาๆ แล้วลุกขึ้นพูดว่า “ในเมื่อเจ้ากังวลเรื่องนี้ เหตุใดไม่ไปที่จวนจอมพลกับข้าด้วยล่ะ จะได้อธิบายเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

อินชิงเสวียนมีสีหน้าสดชื่นขึ้นทันที

“ดี”

นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คนที่แปลงโฉมมามีรูปร่างคล้ายคลึงกับข้า นอกจากจะเป็นคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกันดีแล้ว คนอื่นก็ยากที่จะแยกแยะได้ เพื่อป้องกันการถูกตบตา ข้ากับท่านอ๋องควรตั้งรหัสลับ ทุกครั้งที่เจอกันต้องพูดรหัสลับนี้ เพื่อพิสูจน์ตัวตนของข้า”

เย่จั้นกล่าวว่า “ที่กล่าวมาก็มีเหตุผล แล้วเราควรตั้งรหัสว่าอย่างไรดี”

อินชิงเสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ราชาสวรรค์เหนือกว่าพยัคฆ์ประจำถิ่น”

เย่จั้นเลิกคิ้วขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป

อินชิงเสวียนรู้สึกโล่งใจ บอกกับเขาว่า “ท่านอ๋องต้องพูดว่า ผู้ถือเจดีย์สะกดปีศาจแห่งหนองน้ำ”

เย่จั้นพึมพำด้วยเสียงแผ่วต่ำ

“สองประโยคนี้น่าสนใจจริงๆ”

ดวงตาของอินชิงเสวียนโค้งเป็นรอยยิ้มรูปพระจันทร์เสี้ยว

“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ถ้าท่านอ๋องไม่มีธุระแล้ว เราก็ออกเดินทางกันเถอะ”

เมื่อมองดูดวงตาที่เหมือนพระจันทร์เสี้ยวของอินชิงเสวียน เย่จั้นก็เหม่อลอยไปชั่วขณะ ราวกับว่าเขาเคยเห็นอีกใบหน้าหนึ่งที่ดูคุ้นเคยเช่นนี้...

เมื่อจำได้ว่าหญิงที่คิดถึงได้ถึงแก่ชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อยแล้ว ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย

ทั้งสองมาที่คอกม้า หลังจากขึ้นขี่ม้าแล้ว อินชิงเสวียนก็หยิบหน้ากากออกจากอกเสื้อ แล้วสวมบนใบหน้าของนาง

“เพื่อเป็นการตัดปัญหาที่จะนำมาสู่ท่านอ๋อง จึงควรปกปิดไว้สักหน่อยดีกว่า ท่านอ๋องบอกว่าข้าเป็นคนติดตามท่านมาก็ได้ ข้าจะพยายามไม่พูดขัดจังหวะ”

เมื่อมองดูดวงตาที่เป็นประกายคู่ เย่จั้นก็กระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม

“ดีมาก”

ภายในสิบห้านาทีต่อมา ทั้งสองก็มาถึงจวนจอมพล

ผู้ที่เฝ้าประตูรีบเข้าไปรายงานทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กวนฮั่นหลินชายชราผมขาวก็เดินกะโผลกกะเผลกไปที่ประตู เขายกเสื้อคลุมขึ้น กำลังจะคุกเข่าลง

เย่จั้นรีบเข้าไปประคองกวนฮั่นหลินขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง

“จอมพลเฒ่าไม่จำเป็นต้องคำนับขนาดนี้ เชิญลุกขึ้นเร็ว”

กวนฮั่นหลินยืนขึ้นกล่าวว่า “การที่ท่านอ๋องเสด็จมาที่นี่ก็เหมือนได้นำความรุ่งโรจน์มาสู่ที่พำนักอันต่ำต้อยแห่งนี้ เชิญเข้ามาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์