ยายหลี่ตกใจในทันที
“หรือ… หรือว่ากำไลนี้เป็นของปลอม?”
อินชิงเสวียนจึงรีบถอดกำไลออก
เพื่อไม่ให้เสี่ยวหนานเฟิงร้องโวยวาย จึงให้ลูกเป็ดสีเหลืองที่ส่งเสียงได้สองตัวกับเขา
จากนั้นก็หยิบกำไลขึ้นมาไว้ในมือเพื่อตรวจอย่างละเอียด จู่ๆ ก็พบว่ากำไลไม่ได้หลอมรวมกัน ตรงกลางยังมีจุดต่อกัน อินชิงเสวียนดึงตัวต่อออก มีผงสีดำร่วงมาจากด้านในเล็กน้อยทันที พร้อมกลิ่นหอมที่อ่อนมากๆ
ยายหลี่ตกใจและพูดขึ้น “นี่ นี่คืออะไรกัน?”
อวิ๋นฉ่ายก็เบิกตาโตด้วยความตกใจ
“หรือองค์หญิงจะทำร้ายองค์ชายน้อยของพวกเราเพคะ?”
อินชิงเสวียนเทผงสีดำออกมาจากกำไลทั้งสองวงจนหมด และยื่นให้เสี่ยวอานจื่อ
พูดกำชับด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมหนักแน่น “เจ้าไปถามหมอหลวงเหลียงที่สำนักหมอหลวง ให้เขาดูว่าสิ่งนี้คืออะไร อย่าให้ใครพบเข้าเด็ดขาด แต่หากมีคนพบเข้า ก็บอกว่าไปรับยาไล่มดแมลงที่ใช้เป็นประจำ”
“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวอานจื่อรับถุงยาแล้ววิ่งไปทันที อินชิงเสวียนก้มหน้ามองเสี่ยวหนานเฟิง
เมื่อเห็นว่ายังคงปกติดี จึงสบายใจขึ้นเล็กน้อย
เสี่ยวหนานเฟิงกลับดูเหมือนจะชอบกำไลคู่นี้มาก เมื่อเห็นอินชิงเสวียนถือไว้ก็อ้ามือน้อยๆ มาเอา
เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนไม่ให้ ก็เบ้ปากเล็ก รอบดวงตาแดงขึ้นในทันที
อินชิงเสวียนไม่อาจทนเห็นลูกร้องไห้ได้ กลับกลัวว่าผงยาพิษยังไม่สะอาดพอ จึงน้ำพุวิญญาณมาล้างกำไล จนกระทั่งสีกลับมาเป็นปกติ จึงใส่ให้กับเสี่ยวหนานเฟิง
เสี่ยวหนานเฟิงก็ดีใจขึ้นมาในทันที
เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งที่เสนาะหู เจ้าเด็กอ้วนก็ถีบเท้าเล็กๆ ด้วยความดีใจ เขาถีบจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว และเปียกทั้งตัวอินชิงเสวียน
ยายหลี่ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เหนียงเหนียง ยังมีพิษเหลือไหมเพคะ? ถ้าเป็นเช่นนั้นอย่าใส่เลยดีกว่าเพคะ”
อินชิงเสวียนมองเด็กที่กำลังมีความสุข และพูดเสียงเบาว่า “คงไม่เป็นอะไร นี่เป็นน้ำแห่งเซียนเทพที่กำจัดพิษได้ เขาชอบก็ให้เขาใส่เล่นไปเถอะ”
“เช่นนั้นก็ดีเพคะ”
ยายหลี่ถอนหายใจและถามขึ้นอีกว่า “หรือว่าองค์หญิงจะ...”
อินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหัว
“องค์หญิงมีนิสัยไร้เดียงสา แววตาสดใส ไม่เหมือนคนที่มีแผนการชั่วร้าย คิดว่าต้องโดนหลอกใช้ประโยชน์เป็นแน่ อวิ๋นฉ่าย เจ้าไปส่งทุเรียนที่วังชิงฮว๋าทีสิ และหาโอกาสพูดคุยกับอวิ๋นเฟิง ถามว่ากำไลคู่นี้ได้มาจากที่ใด?”
“เพคะ หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
อวิ๋นฉ่ายรู้สึกเสียดายทุเรียนเล็กน้อย แต่มีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า จึงรีบหยิบไปในทันที
ยายหลี่ถามอีกว่า “ตอนนี้คนในตำหนักถูกเสี่ยวอานจื่อส่งไปล้างห้องน้ำหมดแล้ว พวกเราสามคนอยู่ในตำหนักที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ เกรงว่ากำลังคนจะไม่มากพอ เหนียงเหนียงทรงถามฝ่าบาทให้ส่งคนมาเพิ่มดีหรือไม่เพคะ?”
เมื่อได้ยินยายหลี่พูดถึงเย่จิ่งอวี้ ในใจของอินชิงเสวียนก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
“ช่างเถอะ ใช้เพียงเท่านี้ไปก่อน สักสองสามวันค่อยว่ากัน”
ยายหลี่เห็นสีหน้าของนางไม่ดีมากนัก จึงไม่กล้าถามอะไรมาก
อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงออกมาเช็ดตัวจนสะอาด และอุ้มไปนอนเล่นบนเปล
ขณะนั้น ทันทีที่เงาสีขาวสาดแสง ไม่รู้ว่าไป๋เสวี่ยวิ่งเข้ามาจากที่ใด และกระโดดพรวดเข้าไปในกะละมังอาบน้ำของเสี่ยวหนานเฟิง
เมื่อเห็นใบหน้าที่สบายใจของมัน อินชิงเสวียนจึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ให้รางวัลกับสุนัข จึงเข้าไปในมิติเพื่อตักน้ำพุวิญญาณให้มัน ไป๋เสวี่ยอ้าปากกินน้ำในทันที
อินชิงเสวียนลูบหัวใหญ่ๆ ของมัน และพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ที่เราสามารถจับตัวอาซือหลานได้ ก็มีความดีความชอบของเจ้าด้วย”
ไป๋เสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เห่าขึ้นมา ท่าทางดูเหมือนจะร้อนรน
อินชิงเสวียนไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความว่าอะไร?”
ไป๋เสวี่ยกระโดดออกจากกะละมังทันที และวิ่งไปข้างเสาไม้ไผ่ ด้านบนแขวนกางเกงของเสี่ยวอานจื่อไว้อยู่
มันอ้าปากกัดกางเกงตัวนั้นไว้ และนำไปให้อินชิงเสวียน
อินชิงเสวียนทำสีหน้างุนงง “เจ้าเอากางเกงมาให้ข้าทำไม? นี่ไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย”
ไป๋เสวี่ยปล่อยกางเกงลงบนพื้น พร้อมกับเห่าใส่กางเกงอยู่หลายครั้ง
อินชิงเสวียนไม่เข้าใจภาษาสุนัข จึงหยิบกางเกงขึ้นมาแขวนไว้
อินชิงเสวียนพูดขึ้นทันที “เกรงว่าอาซือหลานคนนี้จะเป็นตัวปลอม”
เย่จั้นเลิกคิ้ว “หา? เหนียงเหนียงบอกว่าจำเสียงของเขาได้ไม่ใช่หรือ?”
อินชิงเสวียนพูดเสียงเบาว่า “ใบหน้ายังเปลี่ยนแปลงได้ เสียงก็ย่อมทำได้เช่นกัน ไป๋เสวี่ยก็อาจจะจำคนผิด เขาเพียงสวมใส่เสื้อผ้าของอาซือหลาน ดังนั้นจึงมีกลิ่นตัวของเขาหลงเหลืออยู่”
อินชิงเสวียนพูดในสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกมา เย่จั้นก็คิดเห็นเช่นกัน
“ท่านพูดถูกทีเดียว ข้าเองก็รู้สึกมีบางอย่างไม่ปกติ แต่กลับไม่ได้คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ การได้ฟังที่เหนียงเหนียงพูด ความจริงก็กระจ่างแจ้งขึ้นมา”
เขาครุ่นคิดชั่วครู่ และพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นรบกวนเหนียงเหนียงอีกสักรอบ นำเรื่องนี้ไปรายงานต่อฝ่าบาท และดูว่าฝ่าบาททรงตัดสินใจอย่างไร”
“คือ...”
อินชิงเสวียนยังไม่อยากเจอเย่จิ่งอวี้ในตอนนี้
เย่จั้นพูดว่า “เหนียงเหนียงไม่ต้องคิดมาก ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่านี้มาก”
อินชิงเสวียนกัดริมฝีปาก
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะไปตำหนักเฉิงเทียนเดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นเงาหลังของอินชิงเสวียน เย่จั้นก็ถอนหายใจเบาๆ
ทางแห่งความสุขของพวกเขาทั้งสองเต็มไปด้วยอุปสรรคจริงๆ หวังว่าพวกเขาจะแก้ปมในใจได้ในเร็ววัน และรวบรวมความคิดทั้งหมดเพื่อบดขยี้แผนร้ายของเจียงวู ส่วนเรื่องดินปืนยิ่งต้องให้อินชิงเสวียนเป็นผู้จัดการ เขาเชื่อว่าเย่จิ่งอวี้จะเห็นแก่ส่วนรวมเป็นสำคัญ
อินชิงเสวียนย่างเท้าก้าวน้อยๆ เดินมาถึงหน้าประตูตำหนักเฉิงเทียน
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพิณโบราณดังมาจากข้างใน
เสียงดีดพิณที่แสนนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เหมือนเสียงร้องไห้คร่ำครวญ และเหมือนหญิงสาวที่รู้สึกน้อยอกน้อยใจ ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสงสาร
หรือว่าผู้ที่ดีดพิณคือสวีจือย่วน?
อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย สุดท้ายก็เดินเข้าไปในตำหนัก
ในระหว่างที่หยุดฝีเท้าลง โทนเสียงก็เปลี่ยนไป และทำนองก็กลายเป็นเสียงที่แหลมสูงและเร่าร้อน
เสียงบรรเลงขึ้นๆ ลงๆ ราวกับ ราวกับเสียงทวนทองอาชาเหล็กในสงคราม ฟังดูกระเหี้ยนกระหือรือ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...