หลี่เต๋อฝูยืนอยู่หน้าประตูตำหนักด้านใน เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็รีบเดิยเข้ามาทันที
พูดขึ้นเสียงเบาว่า “กระหม่อมถวายบังคมเหยาเฟยเหนียงเหนียง”
อินชิงเสวียนถาม “พระสนมสวีอยู่ด้านในหรือ?”
หลี่เต๋อฝูยิ้มและพูดว่า “ไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป็นผู้ดีดพิณ กระหม่อมเห็นว่าอารมณ์ของฝ่าบาทไม่ค่อยดีนัก เหนียงเหนียงมาถึงแล้ว ทรงเข้าไปปลอบหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะพยายาม”
เมื่อได้ยินว่าผู้ดีดพิณคือเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็โล่งใจ แต่ก็เกินความคาดหมายเช่นกัน
ผู้หญิงธรรมดาๆ ไม่สามารถบรรเลงบทเพลงประเภทนี้ออกมาแน่นอน มีเพียงผู้ที่เคยผ่านสนามรบจริงเท่านั้น จึงจะสามารถบรรเลงบทเพลงขี่ม้าข้ามแม่น้ำ พลังอาฆาตแค้นที่เหนือกว่าผู้ใด
นางสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินเข้าตำหนักด้านใน
จึงได้พบเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่ข้างๆ พิณโบราณ วินาทีถัดจากนั้น เสียงพิณก็หยุดลง
เย่จิ่งอวี้เงยใบหน้าที่หล่อเหลาขึ้นมา มองไปยังอินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างประตูทางเข้า
ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที
“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”
อินชิงเสวียนเดินไปด้านหน้าสองก้าว พูดเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทกลับแล้ว เหตุใดหม่อมฉันจะไม่กลับเพคะ?”
เย่จิ่งอวี้กระแอมไอ “จู่ๆ ข้าก็รู้สึกไม่สบาย จึงกลับตำหนักเฉิงเทียนก่อน”
อินชิงเสวียนฮึดฮัดเบาๆ “ในเมื่อไม่สบาย เหตุใดจึงมาดีดพิณได้เล่า?”
เย่จิ่งอวี้พูดอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “คือว่าข้า... ดีขึ้นบ้างแล้ว”
อินชิงเสวียนเปิดอกกับเขาตรงๆ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาดั่งสายน้ำ “เกรงว่าฝ่าบาทคงสับสนในตัวหม่อมฉัน จู่ๆ จึงเดินออกมาเช่นนั้น หากฝ่าบาทคิดเช่นนั้นจริงๆ หม่อมฉันก็ไม่มีสิ่งใดต้องพูด”
อินชิงเสวียนกำลังหันหลังกลับ เย่จิ่งอวี้ก็จับนางไว้ทันที
“ข้าเปล่านะ”
อินชิงเสวียนยืนหันหลัง เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่น้ำเสียงกลับเย็นชาขึ้น
“ฝ่าบาทเป็นถึงประมุขของประเทศ ไม่อาจพูดเท็จได้ ฝ่าบาททรงถามตัวเองเถอะเพคะ พูดจาเช่นนี้ตรงกับใจตัวเองหรือไม่?”
เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง และจับตัวของอินชิงเสวียนหันมา เพื่อให้นางมองที่ตัวเอง
น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำก็อ่อนลงในทันทีทันใด
“เป็นเพราะข้ามีใจต่อเจ้า ข้าจึงอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ ข้าไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหนเหมือนกับที่รู้สึกต่อเจ้า ข้ารู้ว่าเป็นเรื่องโกหก ข้าเห็นการหลอกลวงกันกับตาตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก จะแยกเรื่องจริงเท็จไม่ออกได้อย่างไร แต่ข้าไม่อาจควบคุมความคิดของตัวเองได้ ข้าโมโห แต่ไม่ใช่เพราะเจ้า แต่เป็นตัวของข้าเอง เป็นเพราะข้าใจแคบเอง ข้าผิดไปแล้ว เสวียนเอ๋อร์เลิกโกรธได้แล้วนะ”
เมื่อเห็นฮ่องเต้น้อยพูดด้วยความสัตย์จริง อารมณ์ของอินชิงเสวียนก็เย็นลงมาก ความจริงนางแทบไม่ได้โกรธอะไรเลย เพียงแต่ลงมือตัดกำลังอีกฝ่ายก่อนก็เท่านั้น
หากนางพูดจาดีไพเราะน่าฟัง อาจทำให้เย่จิ่งอวี้หวาดระแวงมากยิ่งขึ้น
ความจริงพิสูจน์แล้วว่า นางคิดไม่ผิดเลย
อินชิงเสวียนใช้แรงกัดริมฝีปากหนึ่งที เพื่อกดเสียงหัวเราะที่อยู่ในลำคอ แกล้งพูดด้วยความใจกว้างว่า “เพคะ หม่อมฉันยกโทษให้ หม่อมฉันมาหาฝ่าบาทเพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องกราบทูล”
เย่จิ่งอวี้ผ่อนคลายลงมากในทันที เลิกคิ้วและถามว่า “เรื่องอะไรกัน?”
อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องของอาซือหลาน หม่อมฉันสงสัยว่าพวกเราอาจจะจับผิดคน”
นางเล่าความสงสัยของตัวเอง และความผิดปกติของสุนัขให้เขาฟัง
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้ว เขาเอามือไพล่หลัง พร้อมก้าวเท้าสองก้าว
“การคาดเดาของเสวียนเอ๋อร์ก็มีเหตุผล หรือว่าอาซือหลานมองแผนการของเสด็จอาออกตั้งแต่แรก? แต่หากเขารู้ว่ามีการซุ่มโจมตีในโรงเตี๊ยม เหตุใดยังส่งสี่คนนี้มาจับตัวเจ้าอีก?”
อินชิงเสวียนคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สิ่งเดียวที่พูดด้วยเหตุผลได้ก็คือ เขาต้องการใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบนี้ ให้พวกเราเข้าใจผิดว่าอาซือหลานถูกจับแล้ว”
“มีความเป็นไปได้ สิ่งที่พวกเรารู้ก็มีเพียงใบหน้าของพี่ชายเจ้า หากเขาเปลี่ยนหน้า หรือใช้ใบหน้าที่แท้จริง ก็จะลอยนวลได้อีกครั้ง เจ้าโจรสุนัขนี่หลอกคู่ต่อสู้อยู่จริงด้วย”
“เป็นจริงดังนั้นเพคะ ตอนนี้เราแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว หากต้องการจับเขาอีก เกรงว่าจะไม่ง่ายอีกแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...