สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 306

ครั้งนี้?

ฮ่องเต้น้อยคงไม่คิดจะนอนร่วมเตียงกับนางใช่ไหม?

เมื่อนึกถึงคืนนั้นของเขาและเจ้าของร่างเดิม อินชิงเสวียนก็ขนหัวลุกอย่างอดไม่ได้ นางรีบผลักเย่จิ่งอวี้ออก

“ฝ่าบาทบาดเจ็บหนักยังไม่หายดี ไม่เหมาะที่จะทำเรื่องอย่างว่า ฝ่าบาทต้องพักฟื้นพระวรกายให้ดีเสียก่อน มิเช่นนั้นจะมีอาการอื่นตามมาได้”

เมื่อเห็นท่าทีของนางตกใจราวกระต่ายตื่นตูม เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มที่มุมปาก

“เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ข้าหายดีแล้วจึงจะไปหาเจ้า”

อินชิงเสวียนรีบพูดขึ้น “หม่อมฉันไม่ได้พูดสิ่งใดเลย ฝ่าบาททรงมโนไปเองทั้งหมด หม่อมฉันออกมานานแล้ว ต้องกลับก่อนนะเพคะ”

เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย ยื่นมือไปจับอินชิงเสวียนไว้ และถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “มโน? หมายความว่าอย่างไร?”

“หมายถึงทรงใช้ความคิดมากไปเพคะ”

อินชิงเสวียนพูดจบก็วิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมา ทิ้งไว้เพียงเย่จิ่งอวี้ที่ยังทำหน้างุนงง

เขาใช้ความคิดมากไปงั้นหรือ?

ในระหว่างที่กำลังคิด อินชิงเสวียนก็กลับมาอีกครั้ง

นางยืนอยู่ที่หน้าประตู และพูดขึ้นว่า “หม่อมฉันขอละลาบละล้วงนะเพคะ หม่อมฉันอยากยืมพิณของฝ่าบาทสักหน่อย ฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือไม่”

นี่เป็นความคิดที่กะทันหันของอินชิงเสวียน ไม่แน่ว่าทันทีที่บรรเลงบทเพลง ก็อาจได้คะแนนสะสมหนึ่งหมื่นคะแนน

หากเป็นเช่นนั้น ปืนที่นางใฝ่ฝันมาตลอด อีกไม่นานก็จะซื้อได้แล้ว!

เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “อย่าว่าแต่พิณเลย หากเจ้าจะยืมชีวิตของข้า ข้าก็ให้เจ้าได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าข้าจะได้รับเกียรตินั้นหรือไม่ ที่จะได้ฟังบทเพลงที่เสวียนเอ๋อร์บรรเลง?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หัวใจของอินชิงเสวียนก็ร้อนผ่าวขึ้นมา แม้จะรู้ว่าผู้หญิงของฮ่องเต้น้อยไม่ได้มีตัวเองเพียงคนเดียว แต่ในใจยังคงรู้สึกซาบซึ้ง อย่างน้อยสิ่งที่เขาพูดในตอนนี้คงเป็นเรื่องจริง

นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า “หากฝ่าบาทอยากฟัง ก็ตามหม่อมฉันไปที่ตำหนักจินหวูสิเพคะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าร่างกายของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง หลังอาบน้ำแล้ว บาดแผลดีขึ้นหรือไม่เพคะ?”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและพูดว่า “เสวียนเอ๋อร์บอกว่าฝ่าบาทไม่ควรพูดเท็จไม่ใช่หรือ ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว”

เขาเหลือบมองนางด้วยรอบยิ้มที่ไม่ยิ้ม แล้วพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเสวียนเอ๋อร์ไม่ยอมให้ข้ากิน เช่นนั้นข้าก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีรองลงมา ข้าไปกินซาลาเปาก็ได้”

อินชิงเสวียนหน้าแดงเล็กน้อย พูดตำหนิว่า “หากฝ่าบาทยังพูดจาไร้สาระอีก ข้าจะไม่ให้ไปด้วยแล้ว”

“ได้ๆๆ ข้าไม่พูดแล้ว”

เย่จิ่งอวี้หัวเรา และพูดกับคนด้านนอกว่า “ขันที นำพิณน้ำใสของข้าไปที่ตำหนักจินหวูด้วย”

ไป๋เสวี่ยกำลังนอนแลบลิ้นและหมอบอยู่ที่หน้าประตู เพื่อรออินชิงเสวียน

เมื่อเห็นนางออกมา จึงลุกขึ้นในทันที สะบัดหางของมันด้วยความดีใจ

เย่จิ่งอวี้รู้สึกอิจฉาอย่างอดไม่ได้

“เจ้าสัตว์เลี้ยงไม่รักดี ข้าเลี้ยงมันตั้งแต่เล็กจนโต ตอนนี้กลับจำข้าไม่ได้เสียอย่างนั้น”

อินชิงเสวียนแค่นเสียงหัวเราะออกมา และตบหัวของไป๋เสวี่ย พร้อมพูดขึ้นว่า “ยังไม่รีบไปหาเจ้านายของเจ้าอีกนะ”

ไป๋เสวี่ยวิ่งไปข้างกายของเย่จิ่งอวี้ในทันที ใช้จมูกดันมือของเย่จิ่งอวี้ไว้

เมื่อเห็นไป๋เสวี่ยฟังในสิ่งที่อินชิงเสวียนพูด เย่จิ่งอวี้ก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้

เมื่อก่อนสุนัขตัวนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการรื้อบ้าน กัดสิ่งของทั้งวัน รองเท้าของเย่จิ่งอวี้ถูกมันกัดเสียหายไปหลายคู่แล้ว ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ถูกขังอยู่ที่ตำหนักด้านข้างหรอก

จึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “มันไม่ได้รื้อตำหนักจินหวูของเจ้าหรอกหรือ?”

อินชิงเสวียนส่ายหัว “ไม่เลยเพคะ ไป๋เสวี่ยเป็นเด็กดีมาก”

เย่จิ่งอวี้ยิ่งงุนงงมากขึ้น

“เช่นนั้นมันทำอะไรบ้างในตำหนักจินหวู?”

อินชิงเสวียนยิ้มตาหยีและพูดว่า “กินอิ่มก็เล่นกับจ้าวเอ๋อร์ เลี้ยงง่ายมากเพคะ”

เย่จิ่งอวี้ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ หลายปีที่ผ่านมาเขาเลี้ยงโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ

ไป๋เสวี่ยดูเหมือนจะเห็นว่าเย่จิ่งอวี้บาดเจ็บหนัก จึงรีบยืดตัวตรงและกอดเย่จิ่งอวี้

อินชิงเสวียนรีบพูดว่า “ไม่ได้นะ นายของเจ้าบาดเจ็บอยู่ ยังไม่หายดีเลยนะ”

ไป๋เสวี่ยรีบชักอุ้งเท้ากลับในทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์