สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 307

ตอนนั้นอินชิงเสวียนก็เคยดูละครเจินหวนจอมนางคู่แผ่นดินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จึงรู้ว่าต้นยี่โถคือไม้ที่มีพิษ

เสี่ยวหนานเฟิงอายุเพียงเท่านี้ เป็นวัยที่กำลังชอบกัดสิ่งของ หากกลืนผงดอกไม้เข้าไปในปาก แทบไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่ตามมา

อีกทั้งวันก่อนเสี่ยวหนานเฟิงเพิ่งถูกพิษไปครั้งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าความต้านทานต่อพิษของเสี่ยวหนานเฟิง ยังไม่สามารถเทียบเท่าผู้ใหญ่ได้ แม้น้ำพุวิญญาณจะช่วยได้ แต่ลูกก็ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยเช่นกัน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาก็เย็นชาลง

นางไม่เคยไปหาเรื่องไทเฮาเลยแม้แต่น้อย นางกลับบีบนางในทุกย่างก้าว คงเป็นเพราะไทเฮาคิดว่านางกลัวจริงๆ

สายตาของเย่จิ่งอวี้เยือกเย็นอย่างที่สุด ใบหน้าที่หล่อเหลาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง

“ไทเฮาโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ คงคิดว่าข้าไม่กล้าลงโทษนาง ทหาร ไปที่ตำหนักฉือหนิง”

อินชิงเสวียนรีบห้ามเย่จิ่งอวี้ไว้

“แม้ฝ่าบาทไปแล้ว ก็ไม่อาจลงโทษนางได้ ตอนนี้ผงยาพิษในกำไลก็ถูกเทออกมาหมดแล้ว ไทเฮาไม่มีทางยอมรับผิดแน่นอนเพคะ หรืออาจจะโยนความผิดให้แก่องค์หญิงไห่ถัง หากเป็นเช่นนั้น จะเป็นการลำบากผู้อื่นเสียเปล่า”

เย่จิ่งอวี้เขม็งสายตาแน่น “เสวียนเอ๋อร์หมายความว่า...”

อินชิงเสวียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ฝ่าบาทยังจำหลวงจีนเสวียนเจินได้หรือไม่เพคะ?”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้า “ข้าจำได้แน่”

อินชิงเสวียนกระตุกยิ้มที่มุมปากและพูดว่า “ข้าเห็นว่าไทเฮามีความเชื่อในพุทธศาสนามาก สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้พอดี หาคนที่เชื่อใจได้ เหมือนดังนี้เพคะ...”

เมื่อได้ฟังแผนการนี้ เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะร่าและพูดขึ้นว่า “แผนการชาญฉลาดมากทีเดียว ทำตามแผนที่เสวียนเอ๋อร์วางไว้ ครั้งนี้ ข้าจะให้ยายแม่มดแก่ตายโดยไร้ที่ฝังศพเป็นแน่”

จากนั้นก็พูดต่อว่า “ตำหนักที่กว้างขวางเช่นนี้ มีเพียงแค่สามคนไม่ได้แน่ หลี่เต๋อฝู เจ้าไปคัดเลือกคนที่ไว้ใจได้มาสักหน่อย เพื่อมารับใช้ที่ตำหนักจินหวู”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้”

เมื่อเห็นฝ่าบาทมีความสุข ใบหน้าของหลี่เต๋อฝูก็มีแต่รอยยิ้ม และวิ่งโหยงๆ ออกไป

จากนั้นไม่นานก็นำขันทีและข้าหลวงหญิงมาอย่างละสิบคน

“ฝ่าบาท พวกเขาเหล่านี้คือคนที่กระหม่อมฝึกฝนมากับมือของตัวเอง ซึ่งจะสามารถดูแลรับใช้เหนียงเหนียงและองค์ชายน้อยได้เป็นอย่างดี”

ทุกคนคุกเข่าลงพร้อมกันในทันที

“กระหม่อม/หม่อมฉันขอถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมเหยาเฟยเหนียงเหนียง”

เย่จิ่งอวี้กวาดสายตามองทุกคน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม “ลุกขึ้นเถอะ นับตั้งแต่วันนี้ไป พวกเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของอันกงกง หากผู้ใดกล้าแย้ง จะโดนโบยด้วยไม้”

ทุกคนรีบพูดว่า “กระหม่อม/หม่อมฉันจะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ภักดีต่อเหนียงเหนียง ภักดีต่อตำหนักจินหวู และเชื่อฟังคำสั่งของอันกงกงเพียงผู้เดียว”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสี่ยวอานจื่อก็รู้สึกพึงพอใจมาก

เมื่อก่อน เขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มของพวกเขา วันนี้ได้โยกย้ายตำแหน่งและเลื่อนขั้นเป็นผู้คุม เรื่องเหล่านี้ต้องขอบคุณเสี่ยวเสวียนจื่อ ไม่สิ เหยาเฟยเหนียงเหนียง

เขาเหลือบมองอินชิงเสวียนด้วยความขอบคุณ เขายืดหลังให้ตรงแล้วพูดว่า “ทุกคนตามข้ามา”

เมื่อเห็นเสี่ยวอานจื่อตะโกนเสียงสูง อินชิงเสวียนก็แอบหัวเราะ

เสี่ยวอานจื่อถือเป็นคนที่น่าสงสาร

เมื่อลองคิดดูแล้ว การเข้าวังเป็นข้ารับใช้ ใครจะไม่สงสารบ้างเล่า

ขอเพียงพวกเขาไม่มีใจขัดแย้ง นางก็ไม่ทำให้พวกเขาลำบากใจแน่

หากมีผู้ที่คิดไม่ดีต่อนาง ก็อย่าโทษว่านางจิตใจโหดเหี้ยม

โดยเฉพาะผู้ที่กล้าทำร้ายลูกชายของนาง ยิ่งไม่มีทางอภัยให้ได้

ไทเฮา วันตายของท่านเข้ามาใกล้แล้ว

เมื่อนึกถึงแผนการนั้น มุมปากของอินชิงเสวียนก็เผยรอยยิ้มที่เย็นชาออกมา

จู่ๆ หลี่เต๋อฝูก็ถามว่า “เหนียงเหนียง พระองค์จะเอาพิณน้ำใสวางไว้ที่ใด?”

อินชิงเสวียนได้สติกลับมา จึงชี้ไปที่ศาลาหินและพูดว่า “วางไว้ตรงนั้นก็ได้”

หลี่เต๋อฝูรีบสั่งขันทีน้อยทันที และอุ้มพิณไปวาง

เย่จิ่งอวี้ค่อนข้างอารมณ์ดี ยิ้มและถามว่า “เสวียนเอ๋อร์จะบรรเลงบทเพลงให้ข้าฟังตอนนี้เลยหรือไม่?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์