สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 312

“ระวัง!”

อินชิงเสวียนตกตะลึง

ทว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้ได้เคลื่อนไหวแล้ว เขาโยกตัวหลบมีดสั้นไปด้านข้าง และใช้นิ้วคีบจับมีดสั้นอันคมกริบได้อย่างเหมาะเจาะ

ความประหลาดใจฉายผ่านดวงตาของเขา แม้แต่ตัวเย่‍จิ่ง‍อวี้เองก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งและความรวดเร็วขนาดนี้

จากนั้นเขาก็แค่นเสียงหึอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “บังอาจนัก ถึงกับกล้ามาลอบสังหารข้าถึงในวัง”

เมื่อชายคนนั้นเห็นว่ามีดสั้นแทงได้เพียงความว่างเปล่า เขาก็ชักดาบออกมาทันที

“ฮ่องเต้โฉด วันนี้คือวันตายของเจ้า!”

กระแสเสียงนั้นทั้งแหบห้าวและสิ้นหวัง อินชิงเสวียนฟังไม่ออกได้ว่าเป็นใครในทันที

เย่‍จิ่ง‍อวี้ตบกระบี่ด้วยฝ่ามือเดียว ชายคนนั้นรู้สึกถึงพลังอันท่วมท้นที่ไหลบ่ามาจากฝ่ามือนั้น จนดาบยาวเกือบจะหลุดมือไป

เขาเปลี่ยนมาจับด้วยมือทั้งสองแทน และกระโดดขึ้นฟันในอากาศ

เย่‍จิ่ง‍อวี้จำต้องถอยออกมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “วิชาดาบของตระกูลกวน เจ้าเป็นใครกันแน่”

“ไม่ต้องพูดมาก วันนี้ไม่เจ้าก็ข้าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง”

มือทั้งคู่ของชายคนนั้นวาดขึ้นไปในอากาศ และอาศัยพลังนี้พุ่งทะยานไปหาเย่‍จิ่ง‍อวี้

เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ต้องการทดสอบฝีมือของตัวเองอยู่พอดี ดูว่าพลังงานในร่างกายนั้นคือกำลังภายในหรือไม่

ไหล่ของเขาจมลง รวบรวมพลังงานทั้งหมดไว้ที่มือทั้งสองข้าง

ทันใดนั้นเขาก็ประกบมือกัน คล้ายกับท่าสวดมนต์ และหนีบคมดาบไว้ได้ในที่สุด

อินชิงเสวียนรู้สึกเย็นวาบไปทั่วสรรพางค์กายอย่างอดไม่ได้ หากคมดาบเข้าใกล้อีกหนึ่งนิ้ว มันก็จะทะลุเข้าไปในร่างของเย่‍จิ่ง‍อวี้ได้พอดี

กว่าจะช่วยชีวิตเขาได้นั้นไม่ง่ายเลย นางไม่อยากไปขอร้องเย่จิ่งหลานอีกแล้ว

ขณะที่กำลังจะแลกพลังมิติ ทันใดนั้นก็เห็นมุมปากของเย่‍จิ่ง‍อวี้ยกขึ้นเล็กน้อย

ตะโกนเสียงทุ้ม “หัก”

ครั้นแล้วดาบเล่มนั้นก็แตกออกจากตรงกลางพร้อมกับเสียงนั้น แล้วทั้งสองคนก็ถือดาบไว้คนละด้าน

มือสังหารตกตะลึงไปชั่วขณะ สามารถหักดาบที่เป็นโลหะได้ด้วยมือที่เป็นเลือดเนื้อ นี่เป็นวรยุทธ์ชนิดใดกัน

เมื่อหันไปเห็นแววตาเย้ยหยันของเย่‍จิ่ง‍อวี้ ความรู้สึกเยือกเย็นก็เพิ่มขึ้นในใจในทันใด

วรยุทธ์ของเขาสูงมากขนาดนี้ ตัวเองจะเอาชนะเขาได้อย่างไร อีกไม่นาน ทหารรักษาพระองค์ก็จะแตกตื่น น่ากลัวว่าการมาในคราวนี้ของเขาจะต้องสูญเปล่าแล้ว

พอคิดถึงปู่ที่ตายไปแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้ใจ ครั้นจึงหมุนดาบหันเข้าใส่คอของตัวเอง

เมื่อเห็นว่าดาบเกือบจะถึงลำคอของเขาแล้ว มือเรียวยาวข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากข้างๆ คว้าข้อมือของมือสังหารด้วยความเร็วดุจสายฟ้า อีกมือหนึ่งเลื่อนผ่านลำคอของเขา และฉีกหน้ากากผิวหนังมนุษย์สีเข้มออก

และเจ้าของมือหาใช่ผู้ใดไม่ หากแต่เป็นอินชิงเสวียนนั่นเอง

เมื่อเห็นความโศกเศร้าระคนความโกรธในดวงตาของมือสังหาร นางก็เดาได้เรื่องนี้จะต้องมีนัยแอบแฝง แล้วก็เหลือบไปเห็นสีผิวระหว่างลำคอและใบหน้ามีความแตกต่างกันาเกินไป นางจึงรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องทำการแปลงโฉมมาแน่ๆ

ด้วยความวิตกกังวล นางจึงแลกเปลี่ยนความเร็ว และหยุดคมดาบได้ทันพอดี

นิ้วมือทั้งสองของเย่‍จิ่ง‍อวี้เข้ามาใกล้ ปัดดาบอันหักเหลือครึ่งหนึ่งที่กำลังจะแทงเข้าลำคอของมือสังหารลงไปที่พื้น ครั้นเห็นหน้าตาของมือสังหารชัดเจน เขาก็ต้องขมวดคิ้ว

“เจ้าคือ...กวนเซี่ยว?”

อินชิงเสวียนก็ตกใจเช่นกัน

“พี่ชายกวน ทำไมเป็นเจ้า”

นางเอื้อมมือไปดึงใบหน้าของกวนเซี่ยวอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ก็เป็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาแล้ว

กวนเซี่ยวพูดด้วยความโกรธ “ในเมื่อข้าตกอยู่ในมือของพวกเจ้าแล้ว อยากฆ่าก็ฆ่าเลย ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็ฆ่าปู่ของข้าไปแล้ว จะเหลือข้าไว้ทำไม”

กวนผิงอันต้องการพูดต่อ แต่อินชิงเสวียนได้หยุดไว้

“เกรงว่าเรื่องนี้จะต้องมีการเข้าใจผิดกันมากมาย ถ้าข้าจำไม่ผิด ตอนนั้นมีคนแปลงโฉมหน้าเป็นพี่ชายกวน แล้วแทงท่านปาจารย์ตอนที่เขาเผลอไผลไม่ทันได้ระวังตัว”

นางหันไปหาหมอหลวงเหลียง พูดอย่างอ่อนโยน “ไม่ทราบว่าหมอหลวงช่วยให้ความสะดวกได้หรือไม่ ให้ข้าได้คุยกับพวกเขาทั้งสองคนสักสองสามคำ”

“ย่อมได้อยู่แล้ว เชิญพระสนม”

หมอหลวงเหลียงพาคนออกไปทันที

แล้วอินชิงเสวียนจึงถามว่า “พี่ชายกวน เจ้าได้ติดต่อกับอินสิงอวิ๋นมาโดยตลอดใช่หรือไม่”

กวนเซี่ยวยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น เขาเหลือบมองนาง และไม่พูดอะไร

อินชิงเสวียนถอนหายใจ “พี่ชายกวนไม่จำเป็นต้องปกป้องเขาอีกแล้ว ตัวจริงของเขาไม่ใช่อินสิงอวิ๋น ตอนนี้พี่ใหญ่ของข้าน่าจะถูกจองจำอยู่ในเจียงวู อินสิงอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้าเจ้าตอนนี้ ฐานะที่แท้จริงของเขาก็คืออ๋องถูหย่าลาจี๋เล่อแห่งเจียงวู นามว่าอา‍ซือ‍หลาน”

กวนเซี่ยวตัวแข็งด้วยความตกตะลึงทันที “เจ้าว่าอะไรนะ”

อินชิงเสวียนมองดูเขา แล้วพูดจาฉะฉาน “พี่ชายกวนโปรดฟังให้ชัดเจน วันนั้นตอนที่พ่อของข้านำกองกำลังเข้าโจมตีเจียงวู พวกได้เขาวางแผนที่จะจับตัวพี่ใหญ่ของข้า และเนื่องจากอาซือหลานกับพี่ใหญ่ของข้ามีรูปร่างใกล้เคียงกัน พวกเขาจึงให้คนทำหน้ากากผิวหนังมนุษย์ แล้วใช้กลยุทธ์หลี่ตายแทนถาว ปะปนเข้าไปอยู่ข้างกายท่านพ่อของข้า แล้วหนีจากเมืองซุ่ยหานกลับมายังเมืองหลวง หนังสือที่สมคบคิดกับศัตรูที่อยู่ในตระกูลอินของข้า ก็เป็นฝีมือของเขา”

ครั้นแล้วกวนเซี่ยวก็นึกถึงตอนที่อินสิงอวิ๋นสวมหน้ากากเป็นใบหน้าของตัวเอง...

หรือว่าสิ่งที่อินชิงเสวียนพูดนั้นเป็นเรื่องจริง

แม้ว่าเขาต้องการกบฏเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับตระกูลกวน แต่เขาไม่เคยคิดที่จะร่วมมือกับศัตรู หากท่านปู่รู้ว่าเขาคือคนที่ปล่อยท่านอ๋องแห่งเจียงวูไป เขาคงโดนตีขาหักแน่นอน

เมื่อนึกถึงตระกูลกวนที่ภักดีทั้งตระกูล ต่อสู้ในสนามรบอย่างกล้าหาญ เพื่อปกป้องดินแดนของต้าโจว โดยไม่คำนึงถึงผลได้ผลเสีย เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่นในใจ

การที่กระทำสิ่งผิดพลาดเช่นนั้นไป เมื่อตายไปแล้ว เขาจะมีหน้าเผชิญหน้าบรรพบุรุษตระกูลกวนได้อย่างไร

พอกันกลับไปมองปู่ที่มีสีหน้าซีดเซียว กวนเซี่ยวก็รู้สึกสิ้นหวังในใจ เขาก็อดไม่ได้ ยกนิ้วขึ้นมาหมายจะควักดวงตาของตัวเองออก

ในเมื่อมีตาหามีแววไม่ เช่นนั้นจะมีตาไว้ทำไม!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์