อินชิงเสวียนก็มีความคิดเช่นเดียวกับเขา หลังจากพลิกผันมาหลายครั้ง ในที่สุดก็รอคอยจนกระทั่งอินจ้งสามารถกลับเมืองหลวงได้แล้ว หวังว่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาอีก
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองต้องพาไป๋เสวี่ยไปพบกวนเซี่ยว ดังนั้นนางจึงพูดกับเย่จิ่งอวี้ว่า “หม่อมฉันต้องกลับไปที่ตำหนักจินหวูก่อน เพื่อให้ไป๋เสวี่ยจำกลิ่นของกวนเซี่ยวไว้ด้วย พรุ่งนี้ฝ่าบาทก็ยังมีประชุมเช้า วันนี้ก็รีบพักผ่อนเถอะเพคะ”
“ไปเถอะ ข้าต้องเตรียมการบางอย่าง ตอนนี้เหลือกวนเซี่ยวเป็นทายาทเพียงคนเดียวในตระกูลกวน ข้าไม่อาจปล่อยให้เขาตกอยู่ในอันตรายโดยลำพังได้”
เย่จิ่งอวี้ยังอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับความรักระหว่างชายหญิงแล้ว เรื่องงานสำคัญมากกว่า
เขาส่งอินชิงเสวียนจนถึงประตูตำหนัก จากนั้นหันกลับไปที่ห้องโถงด้านใน
เสียงดีดนิ้วดังเปาะ ครั้นแล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏที่ด้านหลังของฉากบังลม
เย่จิ่งอวี้ไม่พอใจเล็กน้อย
“เมื่อเจ้ากลับมาวังแล้ว เหตุใดถึงไม่มาพบข้า”
เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าทั้งสองข้างลง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“กระหม่อมปล่อยให้ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ จึงยากที่จะเลี่ยงความผิดจริงๆ”
เย่จิ่งอวี้พูดน้ำเสียงสงบ “ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง เจ้าไม่ได้ละเลยหน้าที่ของเจ้า เป็นข้าที่ต้องการให้เจ้าออกไปทำงานนอกวังเอง ลุกขึ้นเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เจวี๋ยอิ่งตอบรับ แต่ยังคงคุกเข่าอยู่เช่นเดิม
เย่จิ่งอวี้เหลือบมอง แต่แล้วปล่อยเลยตามเลย
ถามเสียงเรียบ “สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ยืนยันได้แล้วว่าฟางรั่วเป็นพวกเดียวกับอาซือหลาน เจ้าได้ติดตามไปจนถึงที่อยู่ของนางแล้วหรือยัง”
เจวี๋ยอิ่งก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “คนพวกนี้ฉลาดแกมโกง กระหม่อมติดตามไปจนถึงบ้านของชาวนา แต่กลับพบว่าพวกนางได้หายไปอีกแล้ว”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แต่กระหม่อมได้ค้นพบเรื่องหนึ่ง”
เย่จิ่งอวี้นั่งบนเก้าอี้ จิบชาเบาๆ
“เรื่องใด”
เจวี๋ยอิ่งกระซิบว่า “กระหม่อมได้ติดตามไปพบบ้านของชาวนาที่น่าสงสัย หน้าต่างถูกคลุมด้วยผ้าสีดำตลอดทั้งวัน พอกระหม่อมเข้าไปตรวจสอบภายใน ก็พบว่าบ้านของชาวนารายนี้มีทางลับ ทิศทางที่มุ่งไปก็คือจวนเสนาบดี”
“โอ้?”
เย่จิ่งอวี้เลิกเรียวตาหงส์ขึ้น ผลิยิ้มเยาะ “จวนเสนาบดีงั้นหรือ เหอะๆ น่าสนใจจริงๆ”
เจวี๋ยอิ่งกล่าวเสริมว่า “ตอนนี้บ้านหลังนั้นได้ขายให้กับชาวนาธรรมดาไปแล้ว เมื่อชั่วยามที่แล้ว กระหม่อมแกล้งไปขอน้ำ และได้เข้าไปตรวจสอบ จึงพบว่าทางลับถูกปิดตายไปแล้ว”
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”
เย่จิ่งอวี้วางถ้วยชาลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “คืนนี้พาองครักษ์เงาไปซุ่มกำลังป้องกันตามแนวกำแพงวัง เจ้ามีหน้าที่ติดตามกวนเซี่ยวเท่านั้น ต้องคุ้มครองความปลอดภัยของเขาให้ได้ ไม่ว่าเขาจะเห็นใครก็ตาม จับมาให้หมด”
เจวี๋ยอิ่งก้มศีรษะแล้วพูดว่า “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
เย่จิ่งอวี้โบกมือ แล้วร่างของเจวี๋ยอิ่งก็หายไปทันที
หลังจากที่เขาจากไป เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดอีกครั้ง
หรือว่ากวนเมิ่งถิงคือคนที่แอบสมรู้ร่วมคิดกับเจียงวู?
เย่จิ่งอวี้รู้เพียงว่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ต้องการให้เย่จิ่งเย่าเข้ามาอยู่ในราชสำนัก คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีตัวตนเช่นนี้อยู่ด้วย ซ่อนไว้อย่างลึกซึ้งพอตัวเลย
แต่น่าเสียดายที่จิ้งจอกมักจะโผล่หางเสมอ!
ในเวลานี้ อินชิงเสวียนได้กลับมาถึงตำหนักจินหวูแล้ว
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงสีแดงเรื่อของดวงอาทิตย์ที่กำลังตกกระทบกับตำหนักอันสง่างาม ราวกับว่าอาหารแห่งนี้ได้ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงสีทองจางๆ
เสี่ยวหนานเฟิงกำลังเล่นสนุกอยู่บนรถเข็น ส่วนไป๋เสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างรถก็ใช้หางที่มีขนปุกปุยระบายบนใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวหนานเฟิง
เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาจับหางของไป๋เสวี่ย พอจับได้ในบางครั้ง เขาก็จะหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข และตบแผ่นกั้นบนรถเข็นเด็กด้วยความตื่นเต้น
ยายหลี่นั่งยองอยู่ข้างๆ กำลังมองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่อวิ๋นฉ่ายและเสี่ยวอานจื่อก็นั่งอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้เพลิดเพลินกับความเย็นสบาย เป็นภาพที่ดูสงบและกลมกลืนกัน
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เสี่ยวอานจื่อก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“พระสนม ท่านกลับมาได้อย่างไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...