ทันทีที่กวนเมิ่งถิงพูดจบ เด็กรับใช้ก็มารายงาน
“ท่านเสนาบดี อันผิงอ๋องเสด็จมาขอรับ”
กวนเมิ่งถิงพูดเรียบๆ “บอกว่าข้าเข้าวังไปร่วมงานศพ ไม่ได้อยู่ในจวน”
“ขอรับ”
เด็กรับใช้วิ่งกลับไปหาเย่จิ่งเย่าทันที
เย่จิ่งเย่าถามด้วยสีหน้าอึมครึม “กวนเมิ่งถิงเข้าวังตั้งแต่เมื่อใด”
“สักพักหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเข้าวังด้วย”
เย่จิ่งเย่ากระตุ้นท้องม้า แล้ววิ่งทะยานมุ่งหน้าสู่วังหลวง
ณ ตำหนักฉือหนิง
โคมไฟสีแดงถูกปลดลง แทนที่ด้วยโคมไฟสีขาวขนาดใหญ่หลายดวงแขวนอยู่บนชายคา โดยมีน้ำหมึกสีดำเขียนคำว่าเซ่นไหว้ไว้บนโคม เหล่าขันทีนางกำนัลล้วนสวมชุดไว้ทุกข์สีขาว เมื่อมองดูไกลๆ ก็เห็นเป็นภาพขาวซีดไปทั้งตำหนัก
มีโลงศพตั้งอยู่ที่กลางห้องโถงใหญ่ ฝาโลงยังไม่ได้ปิดสนิท สามารถมองเห็นไทเฮาที่สวมมงกุฎหงส์ อมหยกโบราณไว้ในโอษฐ์ พระหัตถ์ทั้งสองข้างวางทับบนอก เมื่อผ่านการจัดการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ สีพระพักตร์ของไทเฮาก็นับว่าสงบพอสมควร
เย่จิ่งอวี้ก็สวมชุดไว้ทุกข์ ยืนเด่นเป็นสง่า สูงตระหง่านอยู่หน้าโลงศพ
ใบหน้าหล่อเหลาของเขามีสีหน้าสงบ
ข้างหลังเขาคืออินชิงเสวียนและกลุ่มนางสนม ทั้งหมดกระซิบกระซาบด้วยเสียงแผ่วเบา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเดินเร่งฝีเท้ามาจากนอกประตู และมีคนกลิ้งตัวคลานเข้าไปในลาน
“เสด็จแม่ ท่านเป็นอะไรไป ทำไมจู่ๆ ถึงตายเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งเย่าทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าโลงศพ กอดโลงศพคร่ำครวญร้องไห้เสียงดัง
“ก่อนหน้านี้ท่านยังดีๆ อยู่เลย...หรือว่ามีคนทำร้ายท่าน?”
เย่จิ่งเย่าเงยหน้าขึ้นมองเย่จิ่งอวี้อย่างเคียดแค้น
เย่จิ่งอวี้พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เมื่อคืนนี้ข้าได้จัดงานเลี้ยงในสวนบุปผาหลวง มีเหล่าขุนนางข้าราชสำนักทั้งหมดอยู่ด้วย จู่ๆ ไทเฮาก็ล้มป่วย รักษาไม่หายและสิ้นพระชนม์ไป หากอันผิงอ๋องไม่เชื่อ ก็ไปถามขุนนางข้าราชสำนักคนใดก็ได้”
“ข้าจะไปถามแน่ ถ้าเจ้ากล้าทำอะไร ข้าจะกลับมาเอาคืนแน่นอน”
เย่จิ่งเย่ากอดโลงศพ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดวงตาแดงก่ำ แต่กลับไม่เห็นน้ำตาแม้เพียงสักหยด
“เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า เมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่เฝ้าไทเฮาด้วย”
เย่จิ่งอวี้ไม่สนใจที่จะคุยกับเขาอีก พูดจบก็พาทุกคนออกจากตำหนัก
เมื่อมาถึงประตู เขาก็หยุดชะงักเล็กน้อย แล้วพูดกับซูฉ่ายเวยว่า “จัดสนมสองสามคนผลัดกันเฝ้าไทเฮาตลอดสามวันนี้ ยกเว้นเหยาเฟยไว้ นางมีลูก ไม่สมควรมายังสถานที่เช่นนี้”
ซูฉ่ายเวยโค้งคำนับแล้วพูดว่า “หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชา หม่อมฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้ดีเพคะ”
ทุกคนมองไปที่อินชิงเสวียนด้วยความอิจฉาริษยาทันที
มีลูกดีจริงเชียว ไม่ต้องดูแลเรื่องอะไร
เมื่อนึกถึงว่าต้องผลัดกันเฝ้าพระศพของไทเฮา ทุกคนก็ไม่วายหวาดกลัว แต่กลัวไปก็เปล่าประโยชน์ นี่เป็นธรรมเนียมของราชวงศ์ ไม่เพียงพวกนางเท่านั้น แต่นางสนมของฮ่องเต้องค์ก่อนก็ต้องมาด้วย
ซูฉ่ายเวยหันไปมองอินชิงเสวียน พูดด้วยสีหน้าอ่อนน้อมถ่อมตน “จ้าวเอ๋อร์ยังเด็กอยู่ เช่นนั้นพระสนมเหยาเฟยควรกลับไปก่อนเถอะ เรื่องที่นี่ข้าจะจัดการเอง”
อินชิงเสวียนพยักหน้า นางก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เช่นกัน ไม่ใช่เพราะนางกลัว แต่เพราะนางไม่อยากเห็นคนชั่วเย่จิ่งเย่านั่น
“หากจำเป็น สามารถส่งคนไปที่ตำหนักจินหวูได้ ข้าจะพยายามช่วยเหลือพระสนมหลิงเฟยอย่างเต็มที่”
ทั้งสองโค้งคำนับให้กัน และแยกย้ายกันไป
เย่จิ่งอวี้ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ไกลๆ อินชิงเสวียนรู้ว่าเขากำลังรอตัวเองอยู่ จึงเร่งฝีเท้าเดินไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าให้หลิงเฟยจัดการเรื่องนี้ เสวียนเอ๋อร์ไม่ดีใจหรอกหรือ”
เย่จิ่งอวี้ถามด้วยพลางปรายหางตามอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...