สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 353

อินชิงเสวียนเดินออกจากบ้านอย่างอาลัยอาวรณ์ เสี่ยวหนานเฟิงไปเล่นลูกสุนัขที่ทำจากฟางกับชายผมขาวแล้ว และมีเสียงหัวเราะดังออกมาไม่หยุด

เมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวหนานเฟิงราวกับเสียงกระดิ่งเงิน อินชิงเสวียนก็รู้สึกหดหู่อย่างอดไม่ได้

ลูกคนนี้สนิทสนมกับเขาเร็วเกินไปแล้วหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้ ใครก็ลักพาตัวเขาไปได้ง่ายอย่างนั้นหรือ?

ทว่ามันก็ทำให้ความโศกเศร้าเจือจางลงเช่นกัน หากว่าเสี่ยวหนานเฟิงร้องไห้งอแงไม่ให้นางไป ไม่แน่ว่านางอาจอยู่ต่อในตอนนี้เลย

สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็ดูไม่ดีมากนัก

ภายใต้แสงจันทร์ เดิมทีรูปเส้นของใบหน้านั่นก็เด่นชัดอยู่แล้ว กลับยิ่งคมชัดมากขึ้น ริมฝีปากบางสองด้านประกบเข้าหากันแน่น

อินชิงเสวียนเหลือบมองเขา และเดินเคียงข้างเขาพร้อมกับหนิงซวง

“ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วง แค่การเรียนศิลปะการเล่นพิณเพียงเจ็ดวัน มันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว”

เสียงที่นุ่มนวลดังขึ้นข้างกาย เย่จิ่งอวี้กลับยิ่งโทษตัวเอง

“เพราะข้าไม่มีความสามารถ ไม่อาจปกป้องเจ้าและจ้าวเอ๋อร์ให้ดีได้”

อินชิงเสวียนยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและพูดว่า “ฝ่าบาทพูดเกินไปแล้วเพคะ การเรียนศิลปะการเล่นพิณกับท่านผู้อาวุโส ก็เป็นความต้องการของหม่อมฉันเอง หม่อมฉันเคยได้ยินว่าก่อนที่ฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ถูกเรียกว่าท่านอ๋องแห่งความสุดยอดทั้งห้า หม่อมฉันไม่อาจล้าหลังพระองค์ได้ อีกทั้งฝ่าบาทยังชอบฟังเสียงพิณบรรเลง หากว่าหม่อมฉันสามารถเรียนศิลปะการเล่นพิณได้ดี ฝ่าบาทก็คงไม่ต้องไปหอสุ่ยอวิ้นอยู่บ่อยๆ”

เย่จิ่งอวี้ดึงแขนของนางไว้ ใบหน้าที่บึ้งตึงก็ค่อยๆ คลายลง

สายตาคมส่องสว่างราวกับน้ำใส อบอุ่นและอ่อนโยน

“ศิลปะการเล่นพิณของเจ้าดีมากพอแล้ว ความจริงไม่ต้องเรียนเลยด้วยซ้ำ ข้าเองก็จะไม่ไปฟังเพลงที่หอสุ่ยอวิ้นอีกแล้ว เพียงแต่พิณการเวกช่างน่าประหลาดเสียจริง ก่อนข้าเสด็จขึ้นครองราชย์ก็ไม่เคยรู้สึกสบายใจเลย ข้านำเงินหนึ่งพันตำลึงไปโรงเตี๊ยมเพื่อบรรเลงเพลงพิณ แต่กลับมีเสียงราวกับหมาป่าร้องไห้และผีร้องโหยหวน ข้ารู้สึกอับอายมากเสียจนไม่กล้าดื่มสุราด้วยซ้ำ และรีบกลับวังในทันที”

เย่จิ่งอวี้ชะงักไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า “เสด็จอาก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดี ไม่รู้ว่าทำไมเขายังพาเจ้าไปที่โรงเตี๊ยมโหย่วเจียอีก?”

อินชิงเสวียนยักไหล่

“ไม่แน่จิ้งอ๋องอาจรู้สึกว่าที่นั่นค่อนข้างหรูหราและสะดุดตา ซึ่งง่ายต่อการดึงดูดสายตาผู้คนเพคะ”

จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงตอนที่นางออกจากโรงเตี๊ยม มีคนนั่งมองนางอยู่จากในโรงน้ำชาที่อยู่ตรงข้าม ตอนนี้นึกย้อนไปถึงรูปกรามของเขา ต้องเป็นอาซือหลานไม่ผิดแน่

คิดว่าเขาคงรู้ว่ามีกับดักในโรงเตี๊ยม ตัวเองจึงหลบไปอีกด้านเพื่อดูการแสดง

เย่จิ่งอวี้ก็กำลังครุ่นคิดเช่นกัน

เย่จั้นพาอินชิงเสวียนไปที่โรงเตี๊ยมโหย่วเจีย ด้วยเหตุผลนี้จริงๆ งั้นหรือ?

หากว่าสาวน้อยคนนี้ไม่สามารถเล่นพิณให้เกิดเสียงได้ เช่นนั้นจะทำอย่างไร?

พวกเขาทั้งสองจมอยู่กับความคิด และไม่ได้พูดอะไร

ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูวัง

แลเห็นกวนฮั่นหลินสาวเท้ามายังประตูวังอยู่ไกลๆ

เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียน เขาก็ตกใจเล็กน้อย พระสนมกลับมาแล้วนี่ไง

พร้อมกับรีบโค้งตัวคำนับ “กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาท ขอถวายบังคมพระสนมเหยาเฟย”

อินชิงเสวียนพลิกตัวลงจากม้า ค้อมเอวไปพยุงกวนฮั่นหลินขึ้น

“ท่านอาจารย์ไม่ต้องมาพิธี ท่านอาจารย์จะไปที่ไหน บาดแผลดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ?”

กวนฮั่นหลินลุกขึ้นยืน เหลือมองไปที่เย่จิ่งอวี้

“คือ... กระหม่อมจะไปจัดกองทัพตระกูลกวนที่จวน...”

แม้ว่ากวนฮั่นหลินไม่ยอมให้เย่จิ่งอวี้ออกทัพ แตาถ้าหากฝ่าบาทต้องการใช้กองทัพตระกูลกวนจริงๆ เป็นภาระหน้าที่ของขุนนางซึ่งจะปฏิเสธไม่ได้

อินชิงเสวียนเข้าใจในทันที และรู้สึกอบอุ่นหัวใจ พร้อมเหลือบมองไปที่เย่จิ่งอวี้

จากนั้นก็พูดขึ้นอีกว่า “ตอนนี้ข้ากลับวังแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่ต้องนำทัพเข้าสงครามด้วยตัวเอง เรื่องของเจียงวูก็มีมาตรการอื่นๆ ในการแก้ไขปัญหาแล้ว ท่านอาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง อีกทั้งท่านพ่อของข้ากำลังกลับจากเมืองซุ่ยหาน อีกไม่กี่วันก็จะมาที่เมืองหลวง บาดแผลของท่านอาจารย์ยังไม่หายดีเป็นแน่ หากไม่อยากอยู่ในวัง ก็กลับไปรักษาตัวที่จวนเถอะเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินว่าอินจ้งจะกลับราชสำนัก จอมพลเฒ่าก็ตื่นเต้นมาก

“อินจ้งจะกลับมาจริงๆ งั้นหรือ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์