อินชิงเสวียนหยิบกระพรวนทองออกมาจากอ้อมแขน
รูปทรงของกระพรวนคล้ายกับกำไลข้อมือมาก สีทองเหลืองอร่าม และมีกระพรวนเล็กๆ ห้อยอยู่ที่วงแหวนรอบนอก รวมทั้งหมดสิบอัน เมื่อเขย่าเพียงเล็กน้อยก็จะเกิดเสียงดังกังวานชัดเจน
เย่จิ่งอวี้ยื่นมือไปรับ แต่ยังไม่ทันสัมผัสโดนพวงกระพรวน ในสมองก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง
เขาใช้มือกดที่หน้าผาก และเดินโซเซเล็กน้อย
อินชิงเสวียนรีบนำกระพรวนยัดเข้าไปในอกเหมือนเดิม พร้อมกับเอื้อมมือไปพยุงเย่จิ่งอวี้ไว้
“ในเมื่อฝ่าบาทไม่ชอบเสียงของมัน ก็อย่าฝืนเลยนะเพคะ”
ฝีเท้าของเย่จิ่งอวี้ยืนมั่นคงแล้ว ความดื้อรั้นก็มาพร้อมด้วย
“ให้ข้าดูอีกครั้ง ข้าไม่เชื่อ แม้แต่สนามรบข้ายังไม่กลัว ข้าจะกลัวกระพรวนเล็กๆ นี่ได้อย่างไร”
อินชิงเสวียนจึงจำเป็นต้องหยิบออกมาอีกครั้ง เย่จิ่งอวี้รวบรวมสมาธิหยิบมันขึ้น ถือไว้ในมือและใช้แรงเขย่า
เสียงที่ไพเราะดังออกมาจากกระพรวน เย่จิ่งอวี้รู้สึกเจ็บที่หัวคิ้ว จากนั้นก็รู้สึกหน้ามืดและแทบล้มลงกับพื้น
“ฝ่าบาท!”
อินชิงเสวียนตกใจ และรีบโอบเอวของเขาไว้
“อย่าลองเลยนะเพคะ”
อินชิงเสวียนแย่งกระพรวนกลับมา และวางเข้าไปในอก
เย่จิ่งอวี้จับไหล่ของอินชิงเสวียน ใช้เวลาสักพักจึงจะฟื้นตัวขึ้น
ในใจกลับยิ่งรู้สึกประหลาด นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
ในระหว่างที่ครุ่นคิดก็ได้ยินเสียงคนพูดขึ้นที่ด้านหลัง “ท่านผู้อาวุโสเรียกใช้ผู้น้อยหรือไม่?”
เสียงนั้นเงียบสงัด อินชิงเสวียนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า
ทว่านางจำเสียงของต่งจื่ออวี๋ได้ จึงรีบหยิบหน้ากากฟางรั่วขึ้นมาสวมใส่ลงบนใบหน้า
นางกระแอมไอ พร้อมหันตัวกลับมา
“เจ้าตามหาอาจารย์อาของเจ้าพบหรือยัง?”
ต่งจื่ออวี๋พูดด้วยความเคารพ “ยังขอรับ คิดว่าอาจารย์อาไม่ยอมให้ผู้น้อยหาเจอ จึงได้ปิดกั้นลมหายใจ กว่าผู้น้อยจะหาอาจารย์อาพบ เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหน่อย หากท่านผู้อาวุโสมีธุระสำคัญ ผู้น้อยจะใช้เวลาว่างช่วยท่านผู้อาวุโสจัดการเรื่องนี้”
เย่จิ่งอวี้ก็มองไปที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเช่นกัน ในระหว่างที่เขาปวดศีรษะ เขาก็ได้ยินเสียงเสื้อผ้า และเขาไม่คิดว่าการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มจะว่องไวได้ขนาดนี้
เมื่อมองดูหน้าตรงของเขา สีหน้าที่ดูสงบ ท่าทางที่ซื่อสัตย์ อีกทั้งการที่เขาเรียกอินชิงเสวียนว่าท่านผู้อาวุโสในทุกคำ เขาก็วางใจในทันที
พูดขึ้นเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องหรอก เรื่องนี้พวกเราจะจัดการเอง”
ต่งจื่ออวี๋ก็เหลือบมองไปที่เย่จิ่งอวี้
มื่อเห็นรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและท่าทางที่ไม่ธรรมดาของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
“ท่านผู้นี้คือ...”
อินชิงเสวียนยังไม่ทันเปิดปากพูด เย่จิ่งอวี้ก็พูดว่า “ข้าคือสามีของท่านผู้อาวุโสของเจ้า”
ต่งจื่ออวี๋รีบทำความเคารพต่อเขา และพูดด้วยน้ำเสียงเซ่อซ่า “ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสอีกท่าน ผู้น้อยล่วงเกินแล้ว”
จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านผู้อาวุโสเรียกแทนตัวเองเช่นนั้น ท่านผู้อาวุโสคือฝ่าบาทใช่หรือไม่?”
อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “ถูกต้อง นี่คือโอรสแห่งสวรรค์ของแคว้นต้าโจวที่ยิ่งใหญ่”
ต่งจื่ออวี๋รีบโค้วคำนับอีกครั้ง และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ต่งจื่ออวี๋เจ้าสำนักสายกระบี่ขอถวายบังคมฝ่าบาท”
เย่จิ่งอวี้ยื่นมือไปพยุง
“ไม่ต้องมากพิธี เจ้าไม่ใช่คนที่นี่ ไม่จําเป็นต้องสนใจประเพณีเหล่านี้”
เขาหรี่สายตาคม จับจ้องสายตาไปทั่วตัวของต่งจื่ออวี๋
“กระพรวนนี่เป็นของเจ้างั้นหรือ?”
ต่งจื่ออวี๋พูด “พ่ะย่ะค่ะ นี่คือสิ่งของประจำสำนักของผู้น้อย”
สายตาคมของเย่จิ่งอวี้มีแสงส่องประกายผ่านมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...