“ก็ใช่น่ะสิ ข้ายังคิดว่าเป็นเสียงฟ้าร้องอยู่เลย”
“ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ ช่างโชคร้ายจริงๆ”
“เฮ้อ โชคดีนะที่ไม่มีใครเป็นอะไร”
มีอีกคนหนึ่งถามอย่างใจดีว่า “ลูกสาว พวกเจ้าสองคนไปพักที่บ้านข้าก่อนสักคืนดีหรือไม่ แล้วค่อยกลับมาซ่อมแซมบ้านในตอนกลางวัน”
ใบหน้าอันมอมแมมของอินชิงเสวียนคลี่ยิ้มละไม
“ขอบคุณพี่น้องชาวบ้านทุกคน ข้ากับสามีจะไปหาโรงเตี๊ยมค้างคืนสักคืนก็ได้เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินอินชิงเสวียนเรียกตัวเองว่าสามี เย่จิ่งอวี้ก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อย รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขาแล้วรีบวิ่งฝ่าฝูงชนออกมา
พอได้สูดลมเย็นๆ ยามค่ำคืนเข้าลึกๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาก
นางหยุด เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “ฝ่าบาทคิดอย่างไรถึงได้ออกมาเช่นนี้”
“เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าย่อมมาหาเจ้าอยู่แล้ว”
เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปหยิบเศษหญ้าออกจากศีรษะของอินชิงเสวียน
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงลูกขึ้นมา เขาใจหายวาบ รีบถามทันที “จ้าวเอ๋อร์ล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง จ้าวเอ๋อร์อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยมาก”
ในขณะที่พูด อินชิงเสวียนก็เริ่มรู้สึกว่ากำลังจะหมดแรง
ผลพวงจากมิติมักจะมีอาการเกิดขึ้นตรงเวลาเสมอ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แย่ยิ่งกว่าวันนั้นของเดือนด้วยซ้ำ
ร่างกายของนางเริ่มโงนเงน เย่จิ่งอวี้รีบอ้าแขนรับร่างของนางทันที
“เสวียนเอ๋อร์ อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
อินชิงเสวียนคว้าข้อมือของเขา แล้วพูดอย่างอ่อนแรงเล็กน้อย “ไม่เป็นไร”
โชคดีใช้ห้าสิบห้าสิบได้ทัน เชื่อว่าช่วงนี้คนผู้นั้นก็คงรู้สึกไม่สบายเหมือนกัน
ทักษะความสามารถนี้น่าทึ่งมาก ไม่เพียงแต่สามารถเลียนแบบเพลงยุทธ์ของคู่ต่อสู้ได้ แต่ยังสามารถต่อกรกับคู่ต่อสู้ได้อย่างสูสีอีกด้วย ดังนั้นนี่อาจเป็นที่มาของชื่อห้าสิบห้าสิบ
จุ๊ๆ! นั่นหมายความว่านางจะแข็งแกร่งขึ้นได้เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งไม่ใช่หรอกหรือ
เมื่อนึกถึงตรงนี้ อินชิงเสวียนก็นึกถึงประโยคหนึ่งจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
เขาแกร่งปล่อยเขาแกร่ง ลมโชยพัดขุนเขา เขาร้ายปล่อยเขาร้าย จันทร์กระจ่างกลางน้ำ
น่าเสียดายที่มันสามารถใช้ได้ครั้งละห้านาทีเท่านั้น และมีขีดจำกัดเพียงครั้ง ไม่เช่นนั้นนางคงจะกลายเป็นคนไร้พ่ายไปโดยสิ้นเชิง!
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนส่ายศีรษะและถอนหายใจ เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้ว เอื้อมมือไปกอดนาง
“ข้าจะพาเจ้ากลับวังไปหาหมอหลวง”
อินชิงเสวียนกลับมามีสติในทันที รีบเอ่ยขึ้นทันควัน “ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น และหมอหลวงอาจไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของข้าได้ ประเดี๋ยวข้ากลับไปแช่น้ำทิพย์ อาการก็จะดีขึ้นพอสมควรแล้ว”
เย่จิ่งอวี้ถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือ”
อินชิงเสวียนยักไหล่ “ถึงหม่อมฉันจะหลอกลวงใคร แต่ก็ไม่กล้าหลอกลวงฝ่าบาทหรอกเพคะ”
เรียวตาหงส์ของย่จิ่งอวี้หลุบตามองนาง
“เจ้าหลอกข้าน้อยเสียเมื่อไหร่ กลับวังกันเถอะ”
กลิ่นหอมจางๆ ของกล้วยไม้ลอยกรุ่นมาจากเรือนกายของเย่จิ่งอวี้ ใบหน้าของอินชิงเสวียนเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย
“ปล่อยข้าลงเร็ว”
“ไม่ปล่อย”
เย่จิ่งอวี้ใช้พลังยุทธ์เดินทางมุ่งหน้าสู่วังหลวงอย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งสองจากไป ร่างหนึ่งที่ปิดหน้าด้วยผ้าสีดำก็ปรากฏขึ้นจากด้านหลังกำแพงเตี้ยๆ ซึ่งก็คือคนที่ไปชิงพิณก่อนหน้านี้
นางมองไปในทิศทางที่เย่จิ่งอวี้จากไปด้วยสายตาซับซ้อน
มีทั้งความโล่งใจและความรู้สึกผิดอยู่ข้างใน และมีบางสิ่งที่แม้แต่นางเองก็อธิบายไม่ได้
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถอนหายใจเบาๆ แตะกระพรวนทองที่ห้อยอยู่บนเอวของนาง
ทันใดนั้นแววตาก็เปลี่ยนไป แล้วคนผู้นั้นก็เหาะเหินเดินอากาศเร้นหายไป
หลังจากนั้นไม่นาน ต่งจื่ออวี๋ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกำแพงเตี้ย เขานิ่งอึ้งอย่างไม่เข้าใจอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงมุ่งหน้าไปที่อื่น
ในอีกด้านหนึ่ง เย่จิ่งอวี้มาถึงประตูวังโดยมีอินชิงเสวียนอยู่ในอ้อมแขน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...