สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 41

ณ สุสานหลวง

ชายผู้หนึ่งในชุดผ้าแพรสีฟ้ากำลังมองไปในทิศทางของวังหลวงด้วยท่าทางน่ากลัว

ชายผู้นี้อายุสิบเจ็ดสิบแปดปีโดยประมาณ รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ดวงตายาวเรียว แววตามืดมนเล็กน้อย

ซึ่งบุคคลผู้นี้ก็คือน้องชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อันผิงอ๋อง ผู้ที่ซึ่งมีนามว่าเย่จิ่งเย่า

หนึ่งปีก่อน ตอนที่เย่จิ่งอวี้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาถูกส่งไปยังสุสานหลวงในนามการไว้ทุกข์แทนฮ่องเต้พระองค์ใหม่

เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตทุกๆ เรื่องราว ความเกลียดชังในแววตาของเย่จิ่งเย่าพลันแข็งกร้าวขึ้น

ถ้าตาเฒ่าอินจ้งยอมช่วยเขาในวันนั้น บัลลังก์ก็จะเป็นของเขา...

ยามนี้ก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ในวังหลวงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เห็นชัดว่าเจ้าลูกสุนัขเย่จิ่งอวี้ผู้นี้ กลัวเขากลับราชสำนัก

นิ้วมือค่อยๆ รวบเข้าหากัน เสียงข้อต่อหักดังกรอบ

หากเขาสามารถกลับราชสำนักได้ เขาจะชำระหนี้แค้นนี้แน่นอน

ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งจากไกลๆ ในใจจิ่งเย่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

เพียงชั่วพริบตา หลี่เต๋อฝูและเสนาบดีกรมพิธีการก็เข้ามาใกล้มากขึ้น

เสนาบดีกรมพิธีการพลิกกายลงจากม้า ยกเสื้อคลุมขึ้นแล้วคุกเข่าลงกับพื้น

“กระหม่อมถวายพระพรท่านอ๋อง”

หลี่เต๋อฝูก็ลงจากหลังม้าเช่นกัน

“กระหม่อมหลี่เต๋อฝูถวายพระพรท่านอ๋อง”

“ลุกขึ้น”

กระแสเสียงเสียงของเย่จิ่งเย่าสงบ ความสุขในแววตาถูกซุกซ่อนเอาไว้

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”

หลี่เต๋อฝูยืนขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้พบหนึ่งปี ท่านอ๋องทรงดูดีขึ้นกว่าเดิมพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิงเย่ากล่าวด้วยรอยยิ้มทว่าแววตาไม่ยิ้ม “หลี่กงกงก็ดูรุ่งโรจน์ขึ้นเช่นกัน ชีวิตบริบูรณ์พูนสุขมากจริงๆ”

หลี่เต๋อฝูหัวเราะเบาๆ และพูดด้วยท่าทีที่ไม่ถือตนหรือถ่อมตัวว่า “ฝ่าบาทมีพระกรุณาอย่างยิ่ง ครั้งนี้กระหม่อมเป็นตัวแทนของฝ่าบาทมารับท่านอ๋องกลับวัง ไทเฮาทรงคิดถึงท่านอ๋องมาก”

เสนาบดีกรมพิธีการกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงปรารภถึงท่านอ๋องอยู่บ่อยๆ เช่นกัน เชิญท่านอ๋องขึ้นเกี้ยวเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งเย่ามองย้อนกลับไป เห็นทหารองครักษ์ไม่กี่สิบคนยืนกันอย่างบางตา แบกเกี้ยวเล็กสี่คนหามอยู่ ในใจก็อดรู้สึกเคียดแค้นเสียมิได้

เจ้าลูกสุนัขเย่จิ่งอวี้ผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา

ทว่าเขากลับเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ขอรบกวนทั้งสองท่านแล้ว”

เย่จิ่งเย่าเปิดม่านแล้วขึ้นไปบนเกี้ยว ดวงตาทั้งคู่เยียบเย็นประหนึ่งดวงตาของอสรพิษ

มีเสียงบอกให้ยกเกี้ยว เมื่อนั้นเกี้ยวก็ค่อยๆ ถูกยกขึ้น และมุ่งหน้าไปยังประตูพระราชวัง...

ซึ่งในขณะนี้ อินชิงเสวียนกำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันกับไป๋เสวี่ยอยู่

หลังจากวิ่งไล่ตามกันกว่าพันเมตร ในที่สุดไป๋เสวี่ยก็ถูกจับได้

ซึ่งไป๋เสวี่ยก็วิ่งจนเหนื่อยแล้ว ตอนนี้กำลังนอนพังพาบแลบลิ้นหอบแฮ่กๆ อยู่

อินชิงเสวียนก็หายใจหอบเช่นกัน นางอดไม่ได้ที่จะตบก้นไป๋เสวี่ยอย่างแรง พร้อมทั้งร้องด่า “เจ้าสุนัชบ้านี่วิ่งเร็วเกินไปแล้ว เหนื่อยจะตายแล้ว”

แล้วไป๋เสวี่ยก็นอนหงายท้องเล่นกับนางทันที

อินชิงเสวียนรู้ว่าถ้าสุนัขนอนหงายท้องให้ผู้ใดเห็น หมายความว่ามันเชื่อใจผู้นั้นมากจริงๆ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตีมันไม่ลง

“กลับกันเถอะ ไม่เช่นนั้นเจ้าของของเจ้าจะร้อนใจ”

แต่ไป๋เสวี่ยกลับนอนขี้เกียจอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมไป

อินชิงเสวียนพยายามอุ้มตัวไป๋เสวี่ยขึ้น แต่กลับพบเจ้าลูกหมาตัวนี้มีน้ำหนักไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบชั่ง ซึ่งนางไม่สามารถอุ้มได้เลย

เมื่อเอาตัวไปไม่ได้ เช่นนั้นทำได้เพียงรอให้หายเหนื่อย

แล้วนางก็หาที่ร่มๆ แล้วก็นั่งพักเสียเลย

ไป๋เสวี่ยแสนรู้มาก ตามอินชิงเสวียนมานั่งใต้ร่มไม้ หรี่ตาแล้วหลับลง หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มกรนจริงๆ

อินชิงเสวียนก็เริ่มรู้สึกง่วงจากเสียงกรนนั้น นางหาวแล้วเอนตัวพิงต้นไม้และหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ในยามนี้เอง มีเกี้ยวเล็กกำลังเข้ามาไม่ไกล และบังเอิญผ่านอินชิงเสวียนไปพอดี

ลมกระโชกแรงพัดม่านเกี้ยว สายตาของเย่จิ่งเย่าในเกี้ยวก็บังเอิญเหลือบมองอินชิงเสวียนที่กำลังนอนหลับที่ต้นไม้โดยไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อเห็นใบหน้านั้น เย่จิ่งเย่าก็ตกใจเล็กน้อย

เหตุใดนางถึงสวมชุดขันที

นางถูกส่งไปอยู่ในวังเย็นมิใช่หรือ

เย่จิ่งเย่าต้องการดูอีกครั้ง แต่เกี้ยวก็เดินผ่านไปแล้ว

จากนั้นเขาก็คิดอีกครั้ง แม้ว่าเย่จิ่งอวี้จะปล่อยอินชิงเสวียนออกจากวังเย็น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้นางสวมชุดขันที นั่นคงเป็นเพียงขันทีน้อยที่ดูละม้ายคล้ายกันเท่านั้น

เมื่อนึกถึงหญิงผู้นั้น เย่จิ่งเย่าก็หัวเราะเยาะ

เพียงชั่วพริบตาก็เป็นยามเที่ยงแล้ว

แสงแดดที่แผดจ้า ร่มเงาของต้นไม้ก็ไม่สามารถบดบังไว้ได้

อินชิงเสวียนรู้สึกราวกับว่าร่างกายของนางถูกย่างด้วยไฟ ซึ่งนางถูกปลุกให้ตื่นขึ้นทันทีด้วยความร้อนระอุนั้น

เข่าที่โผล่ออกไปโดนแสงแดด รู้สึกร้อนเหมือนจะลวกมือได้

หากปล่อยทิ้งไว้สักพักอาจจะสุกก็ได้

จึงรีบปลุกไป่เสวี่ยทันที

“รีบกลับกันเถอะ มีน้ำแข็งอยู่ที่ห้องปีกข้าง ทำให้เจ้าเย็นลงได้ ถ้าขืนยังนอนต่ออีก เจ้าจะกลายเป็นสุนัขแดดเดียวเอานะ”

ไป๋เสวี่ยลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน แล้วแลบลิ้นออกมาทันที

อินชิงเสวียนก็ไม่สนใจว่าแล้วว่าไป๋เสวี่ยยินยอมหรือไม่ นางคว้าหูใหญ่นั้นแล้วเดินกลับไป

โชคดีที่ตอนนกลางวันมีนางกำนัลและทหารองครักษ์เดินสวนกันไปมาไม่น้อย อินชิงเสวียนจึงหาทางกลับตำหนักเฉิงเทียนได้อย่างง่ายดาย

เสี่ยวอานจื่อกำลังเดินวนอยู่หน้าประตู ทันทีที่เขาเห็นอินชิงเสวียน เขาก็เหยียดกำปั้นออกแล้วชกเข้าที่ไหล่

“เสี่ยวเสวียนจื่อเจ้าบ้า ไปอยู่ที่ไหนมา ฝ่าบาทเลิกประชุมเช้าแล้ว กำลังรอถามเรื่องเมล็ดพันธุ์แหนะ”

อินชิงเสวียนหัวเราะแห้งๆ “เอ่อ ไป๋เสวี่ยวิ่งหนีน่ะ ข้าไปตามไป๋เสวี่ย”

ที่จริงแล้วนางก็อยากแอบอู้งานเหมือนกัน พออยู่ใกล้เย่จิ่งอวี้แล้วหายใจไม่ทั่วท้องจริงๆ

เสี่ยวอานจื่อกลอกตาใส่นาง แล้วพูดว่า “ไป่เสวี่ยพอได้ออกไปข้างนอกแล้วก็ไม่อยากกลับ เจ้าจะตามใจมากไม่ได้ รีบไปที่ห้องหนังสือเถอะ วันนี้ฝ่าบาทดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี ยังไม่ได้เสวยเลยด้วยซ้ำ”

อินชิงเสวียนพูดในใจว่า เขาไม่กินข้าวแล้วมันธุระกงการอะไรของนาง นางไม่ใช่ขันทีที่รับใช้ฮ่องเต้เต็มเวลาเสียหน่อย

แต่การตำหนิก็ส่วนการตำหนิ แต่ก็ไม่กล้าไม่ไปอยู่ดี

เสี่ยวอานจื่อร้อนใจอยู่แล้ว รีบฉุดนางแล้วพูดว่า “เร็วเข้า”

อินชิงเสวียนไปที่ห้องหนังสือท่ามกลางแสงแดดอันแผดจ้า นางต้องสวมหมวก ไม่เช่นนั้นจะเกิดควันขึ้นได้

เดินไปได้เพียงครึ่งทาง ก็เห็นลู่จิ้งเสียนถือผ้าเช็ดหน้าเข้ามา

เสี่ยวอานจื่อคว้าอินชิงเสวียนอย่างรวดเร็ว

“กระหม่อมถวายพระพรพระสนมเสียนเฟย”

“ลุกขึ้น”

เมื่อเห็นอินชิงเสวียน ลู่จิ้งเสียนก็ยกริมฝีปากขึ้น

กำลังกังวลว่าจะพูดอย่างไร ไม่นึกว่าจะได้มาพบเขาที่นี่

นางเหยียดนิ้วเรียวที่ได้รับการดูแลอย่างดีชี้ไปยังอินชิงเสวียน

“ข้าชอบขันทีน้อยผู้นี้มาก ได้แจ้งกับไทเฮาไว้แล้ว ให้เขาตามข้ามา”

อินชิงเสวียนเหงื่อออกทันที

เห็นชัดว่าลู่จิ้งเสียนผู้นี้ไม่มีเจตนาดี

เสี่ยวอานจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เอ...ฝ่าบาทกำลังรอให้เขาไปตอบคำถามของพระองค์ มิฉะนั้น พระสนมเสียนเฟยรอให้ฝ่าบาทถามคำถามเสร็จก่อน แล้วค่อยพาเขาไป”

ดวงตาของลู่จิ้งเสียนลุกวาว พูดด้วยโทสะ “บังอาจ ข้าจะทำสิ่งใดต้องให้ขันทีเล็กๆ อย่างเจ้าสั่งสอนด้วยรึ ชุ่ยจู๋ ไปตบปากเขา”

เสี่ยวอานจื่อคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความหวาดกลัวทันที

“พระสนมเสียนเฟยโปรดระงับโทสะ”

ชุ่ยจู๋รีบวิ่งเข้ามาด้วยรอยยิ้มเยาะ เงื้อมือขึ้นตบหน้าเสี่ยวอานจื่อทันที

“หยุดตบได้แล้ว กระหม่อมจะไปกับท่าน”

แม้ว่าเสี่ยวอานจื่อจะโหวกเหวกโวยวาย แต่ก็เป็นคนดี และอินชิงเสวียนก็รู้สึกสงสารข้าทาสเหล่านี้จากก้นบึ้งของหัวใจ

ถ้าไม่ถูกบังคับให้อับจนหนทาง ผู้ใดจะยอมเข้ามาใช้ชีวิตต่ำต้อยอยู่ในวัง

เสี่ยวอานจื่ออดรู้สีกซาบซึ้งใจไม่ได้ ดึงแขนเสื้อของอินชิงเสวียน

“เสี่ยวเสวียนจื่อ ฝ่าบาท...”

อินชิงเสวียนพูดอย่างใจเย็น “ไม่ต้องพูดแล้ว พระสนมเสียนเฟยชอบกระหม่อม นับว่าเป็นโชคดีแล้ว กระหม่อมขอบพนะทัยเสียนเฟยพ่ะย่ะค่ะ”

ลู่จิ้งเสียนยิ้มมุมปาก “นับว่าเจ้ายังมีตาอยู่บ้าง ชุ่ยจู๋พวกเรากลับตำหนัก”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์