สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 419

ณ เมืองหลวง

วันนี้ต้องออกรบ สองพ่อลูกตระกูลอินมายังสนามฝึกแต่เช้าตรู่

อินจ้งก็เหมือนกับกวนฮั่นหลิน ได้รับความเคารพและศรัทธาอย่างสูงในกองทัพ

เหล่าทหารรู้ว่าแม่ทัพในการเดินทางครั้งนี้คืออินจ้ง พวกเขาต่างยืนตัวตรง และแสดงความนับถือผ่านสายตา

กวนเซี่ยวในชุดเครื่องแบบทหารยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าที่หล่อเหลาเย็นชาขึ้นมาก

ตอนนี้เขาได้รับตำแหน่งนายกองทหารติดตามทัพชั่วคราว นับว่ามีตำแหน่งทางทหาร เมื่อมองดูเหล่านายทหารที่เกรียงไกร จิตใจของกวนเซี่ยวก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา

ก่อนหน้านี้เขาถูกอาซือหลานหลอกลวง และเข้าวังไปลอบแทงฝ่าบาท ฝ่าบาทปล่อยผ่านเรื่องนี้ให้แล้วกันไป และยังรักษาท่านปู่ของเขาอย่างสุดความสามารถ

กวนเซี่ยวได้เห็นความใจแคบของตัวเองอย่างชัดเจน ตอนนี้หวังเพียงสร้างคุณงามความดีจากการชนะสงคราม เพื่อแก้ไขในสิ่งที่ทำผิดพลาด และยิ่งต้องการฆ่าศัตรูในสนามรบอย่างห้าวหาญ เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลกวน

กลองทหารดังขึ้นสามครั้ง อินจ้งเดินขึ้นไปบนแท่นแม่ทัพ

อินปู้อวี่และกวนเซี่ยวแบ่งกันยืนซ้ายและขวาด้วยความกระปรี้กระเปร่า

อินจ้งมองไปรอบๆ กองทหารแล้วพูดด้วยจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยม

“กลุ่มเจียงวูได้แย่งชิงแผ่นดินของเราไป และทำร้ายประชาชนของเรา พวกเราทั้งหลายล้วนเป็นทหารของต้าโจว การปกป้องประเทศชาติถือเป็นหน้าที่ของเรา การออกเดินทางไปยังเจียงวูในครั้งนี้ จะต้องกุดหัวศัตรูให้ได้ ทวงคืนแผ่นดินของเรากลับมา และคืนความสงบสุขให้แก่ชายแดน”

เหล่าทหารกู่ร้องพร้อมกันเสียงดัง “ปกป้องประเทศชาติ ทวงคืนแผ่นดิน”

เสียงที่ดังราวกับภูเขาคำรามและทะเลที่ซัดสาด สะเทือนทั่วฟากฟ้า

อินจ้งมองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่สุกใส และพูดขึ้นอีกว่า “ในเมื่อนายทหารทุกนายมีความตั้งใจเช่นนี้ ครั้งนี้เราต้องชนะศึกเจียงวูให้ได้ เพื่อนำแผ่นดินที่เป็นของต้าโจวของพวกเรากลับคืนมา หากไม่ชนะเจียงวู สาบานว่าจะไม่กลับมา”

ทุกคนรีบตะโกนขึ้นพร้อมกันทันที “หากไม่ชนะเจียงวู สาบานว่าจะไม่กลับมา”

เมื่อเห็นว่าทหารมีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้น อินจ้งก็พยักหน้าและตะโกนเสียงดังว่า “ดี กองทัพเคลื่อนทัพได้!”

“เคลื่อนทัพ เคลื่อนทัพ เคลื่อนทัพ!”

อินปู้อวี่พูดขึ้นข้างๆ “ท่านพ่อ รอน้องใหญ่ก่อนหรือไม่”

อินจ้งมองไปยังทิศทางของวังหลวง ส่ายหัวและพูดว่า “สนมในวังจะออกมาข้างนอกไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราอย่าไปรบกวนน้องใหญ่เลยจะดีกว่า”

อินปู้อวี่พยักหน้ารับ เขาเพียงรู้สึกเสียดายเท่านั้น

เขายังคงอยากพบน้องสาวมาก

น้องเล็กคอยติดตามพวกเขามาโดยตลอด แม้ว่าจะมีชีวิตที่ยากลำบากในเมืองซุ่ยหาน แต่ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากัน น้องใหญ่ยังไม่อายุไม่มากนัก แต่กลับต้องอยู่ในวังเพียงลำพัง ไร้ซึ่งที่พึ่งพิง เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ อินปู้อวี่ก็รู้สึกติดค้างน้องสาวคนนี้ไว้มากเลยทีเดียว

ขณะนั้น อินชิงเสวียนกำลังนั่งรถม้าพระที่นั่งมังกรมุ่งหน้ามาที่นี่

ตอนแรกคิดว่าจะมาให้เร็วหน่อย แต่ทว่าเสี่ยวหนานเฟิงไม่ยอมให้นางมา อินชิงเสวียนทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงอุ้มเขาออกมาด้วยกัน

เมื่อมาถึงสนามฝึกก็เห็นเหล่าทหารเดินออกมาจากด้านใน เมื่อเห็นฝีเท้าของพวกเขาที่ขยับอย่างพร้อมเพรียงกัน มีบุคลิกลักษณะอันองอาจห้าวหาญ ทำให้อินชิงเสวียนเกิดความมั่นใจว่าจะต้องชนะสงครามอย่างแน่นอน

รถม้าค่อยๆ หยุดลง และหยุดอย่างมั่นคงที่ประตูสนามฝึก

เย่จิ่งอวี้เลิกผ้าม่านและเดินลงรถ ชุดคลุมมังกรที่ยังไม่ได้เปลี่ยน

มังกรทองพร้อมกรงเล็บทั้งห้าบนคอเสื้อ สายตาที่เบิกกว้าง ส่องแสงสุกสว่างภายใต้แสงอาทิตย์ ทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ

อินจ้งมองเห็นฝ่าบาทแล้ว จึงรีบนำอินปู้อวี่และกวนเซี่ยวเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาทันที

เมื่อสะบัดชุดคลุมออกก็คุกเข่าลงสองข้าง

“กระหม่อมอินจ้ง,ขอถวายบังคมฝ่าบาท”

“กระหม่อมอินปู้อวี่ กวนเซี่ยว ขอถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”

“ขุนนางที่รักทั้งสามจงลุกขึ้นเถิด”

ในระหว่างที่เย่จิ่งอวี้กำลังพูด อินชิงเสวียนก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงลงมาจากรถ

อินปู้อวี่สีหน้ายิ้มแย้มในทันที

“ท่านพ่อ น้องใหญ่ขอรับ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์