สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 43

อินชิงเสวียนติดตามเย่จิ่งอวี้ออกจากตำหนัก โดยก้มหน้าก้มตามองดูนิ้วเท้าของตัวเองไปตลอดทาง

แต่ในใจกลับคิดว่าฮ่องเต้นั้นไร้หัวใจจริงๆ

หากสตรีที่อยู่ในวังหลังไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ไม่ว่าตำแหน่งจะสูงเพียงใด ก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อใดที่เขาไม่ถูกใจ ทุกสิ่งก็จะสูญหาย

โชคดีที่นางไม่ได้เลือกที่จะต่อสู้ในวังอย่างโง่เขลา ซึ่งการทำเช่นนั้นรัแต่จะเหนื่อยและเปลืองสมอง

เมื่อเห็นเสียนเฟยถูกลดตำแหน่งอยู่ในขั้นผิน อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะปรารถนาชีวิตนอกวังหลวงมากยิ่งขึ้น

อาศัยที่มีผลไม้และธัญพืชอยู่ในมิติของนาง เรื่องการหาเงินก็ไม่ใช่ปัญหา ถือโอกาสขายเครื่องประทินโฉมไปด้วย ขณะเดียวกันก็ทำไร่ทำนา อินชิงเสวียนทำราวกับเห็นชีวิตของตัวเองมีบ่าวไพร่ตามเป็นโขยง มีเงินทองให้ใช้สอยไม่ขาดมือ

ตลอดทางก็ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย แต่พอรู้ตัวอีกที ก็เดินมาถึงห้องหนังสือแล้ว

เย่จิ่งอวี้เดินก้าวอาดๆ เข้าไปในห้อง ใบหน้าหล่อเหลาของเขามืดมน

อินชิงเสวียนเดินตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว ข้างนอกร้อนมาก ดังนั้นนางจึงยืนอยู่ข้างถังน้ำแข็ง

หลี่เต๋อฝูที่ค้อมตัวมาถึงโต๊ะ เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท เลยยามบ่ายแล้ว จัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว พระองค์ควรเสวยได้แล้ว”

เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเรียบ “เราไม่หิว เอาออกไปเถอะ”

อินชิงเสวียนเอียงศีรษะมอง แล้วก็เห็นจริงๆ ว่ามีจานเครื่องเคียงสี่จานอยู่บนโต๊ะและไม่มีผู้ใดแตะต้องเลย

หลี่เต๋อฝูไม่มีทางเลือกนอกจากโบกมือให้คนเก็บจานอาหารออกไป

แล้วเย่จิ่งอวี้ก็หันความสนใจไปที่อินชิงเสวียน

“ได้ยินจากเสี่ยวอานจื่อบอกว่าเมล็ดพันธุ์งอกแล้ว ไม่ทราบว่าจะอยู่รอดมากเพียงใด”

อินชิงเสวียนก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า “เกินแปดในสิบส่วนพ่ะย่ะค่ะ น้ำและดินไม่มีปัญหา”

ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้อ่อนลงเล็กน้อย เลิกดวงตาหงส์แล้วถามว่า “ในมือเจ้ายังมีเมล็ดพืชอีกเท่าใด”

อินชิงเสวียนลอบเหลือบมองเขา แล้วพูดว่า “เอ่อ...ยังมีอีกบ้าง”

เย่จิ่งอวี้มองดูนางแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าเจ้าจะยินดีจะมอบเมล็ดพืชนี้หรือไม่”

อินชิงเสวียนกลอกตา แล้วพูดว่า “กระหม่อมยินดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะอนุญาตให้กระหม่อมออกจากวังไปพบครอบครัวได้หรือไม่”

ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้มืดลงทันที

“ไม่อนุญาต แต่...เรายินดีที่จะทำการค้ากับเจ้า”

อินชิงเสวียนรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่เห็นดีด้วยที่นางจะออกจากวัง ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกผิดหวังมากนัก

“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทำการค้าใด”

เย่จิ่งอวี้พูดอย่างสงบ “เรายินดีจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์ของเจ้า เมล็ดพันธุ์หนึ่งชั่ง เราจะให้เงินเจ้าห้าร้อยตำลึง”

อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากอย่างแรง เพราะกลัวว่าตัวเองจะหัวเราะออกมาดังๆ

เมล็ดพันธุ์หนึ่งถุงก็หนักหนึ่งชั่งแล้ว ใช้คะแนนเพียงหนึ่งคะแนนเท่านั้น การค้านี้กำไรจริงๆ

แต่กลับถามอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาทต้องการซื้อกับกระหม่อมจริงๆ หรือ”

เย่จิ่งอวี้กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นสมบัติของบ้านเจ้า แน่นอนว่าเราจะเอาเปรียบเจ้าไม่ได้”

อินชิงเสวียนคุกเข่าลงบนพื้นทันที พูดด้วยท่าทางชื่นชมเหลือประมาณ “ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาเช่นนี้ กระหม่อมชื่นชมจริงๆ ความชื่นชมของกระหม่อมที่มีต่อฝ่าบาทนั้นเหมือนกับ1แม่น้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับทะเลที่ท่วมท้นจนควบคุมไม่ได้”

เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ รู้สึกมีความสุขทันที

“เจ้าบ่าวตัวน้อยเห็นเงินก็ทำตาลุกวาว ลุกขึ้นเถิด ต่อไปอย่าไปที่ใดอีก จะได้ไม่ถูกคนจับตัวไป”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

อินชิงเสวียนลุกขึ้น แล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ตอนนี้เย่จิ่งอวี้ต้องการทำการค้ากับนาง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าในภายหน้าเขาจะลงโทษตัวเองหรือไม่ ผู้ใดต่างก็บอกว่าอยู่ใกล้ราชาก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ ความคิดของฮ่องเต้นั้นยากต่อการคาดเดามากกว่าความคิดของสตรี

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน อินชิงเสวียนยังคงรู้สึกว่าการค้านี้ยังทำไม่ได้

จึงกล่าวขึ้นทันทีว่า “ฝ่าบาทซื้อเมล็ดพันธุ์ไว้เพื่อประโยชน์ของราษฎร ถ้ากระหม่อมขายให้ฝ่าบาทจริงๆ มิเท่ากับสร้างหาประโยชน์จากความแร้นแค้นของบ้านเมืองหรอกหรือ แม้กระหม่อมจะไม่ได้เล่าเรียนหลายปี แต่การทิ้งชื่อเสียงอันเหม็นฉาวไปชั่วลูกชั่วหลานนั้นทำไม่ได้ ดังนั้นกระหม่อมจึงจึงตัดสินใจอุทิศเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดเหล่านี้ให้กับฝ่าบาท”

“โอ้”

เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มในดวงตาของเขาเริ่มเด่นชัดขึ้นเล็กน้อย

“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ”

อินชิงเสวียนคุกเข่าลงและพูดว่า “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งในชีวิตของกระหม่อมที่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับฝ่าบาทได้”

เย่จิ่งอวี้หัวเราะและพูดอย่างร่าเริง “ดี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าไม่จำเป็นต้องกลับไปที่ห้องโถงปีกข้างอีกแล้ว จงอยู่รับใช้ข้างกายเรา”

“หา”

จู่ๆ อินชิงเสวียนก็เหงื่อออก นางไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ

เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นมอง

“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ”

อินชิงเสวียนก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว

“กระหม่อมยินดี”

ในใจอดไม่ได้ที่จะสอบถามกับมารดาของเขา ตัวเองพยายามแสดงฝีมือถึงเพียงนี้แล้ว จะแต่งตั้งตำแหหน่งขุนนางเล็กๆ ให้นางไม่ได้เลยเชียวหรือ

ผู้ใดจะยินดีรับใช้ผู้อื่น ทั้งยังเรียกว่าเป็นของรางวัลอีก เช่นนั้นไม่เรียกว่าวิปลาสหรอกหรือ

หลี่เต๋อฝูกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ยังไม่ขอบพระทัยอีก”

ขอบพระทัยบ้านเจ้าน่ะสิ นางไม่ต้องการน้ำใจนี้

ทว่ากลับแสร้งทำเป็นมีความสุขและพูดว่า “กระหม่อมขอบพระทัยสำหรับพระเมตตา”

เย่จิ่งอวี้รับคำเบาๆ และเอื้อมมือไปหยิบฎีกา

อินชิงเสวียนก็หุบปากโดยอัตโนมัติ

แต่เมื่อเห็นหลี่เต๋อฝูโบกมือให้ตัวเอง อินชิงเสวียนก็เหลือบมองเย่จิ่งอวี้ แล้วตามหลี่เต๋อฝูออกไปนอกห้อง

“หลี่กงกงมีสิ่งใดให้รับใช้”

ดวงตาของหลี่เต๋อฝูเบิกกว้าง กวาดตามองใบหน้าของนาง

จิ๊ปากพูดว่า “เจ้าช่างเหมือนพระสนมท่านนั้นจริงๆ แต่น่าเสียดาย พระสนมผู้นั้นอายุสั้นนัก ถ้าอดทนต่ออีกสักหน่อย อาจจะโดดเด่นก็ได้”

หัวใจของอินชิงเสวียนเต้นไม่เป็นจังหวะ หลี่เต๋อฝูรู้จักเจ้าของเดิมจริงๆ นางหัวเราะแห้งๆ ถามโดยแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ไม่ทราบว่าพระสนมที่หลี่กงกงเอ่ยถึงคือผู้ใด”

“จะเป็นผู้ใดได้อีกเล่า แน่นอนว่าคือผู้ที่อยู่ในวังเย็น”

หลี่เต๋อฝูถอนหายใจและพูดว่า “ช่างเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลย คราวก่อนเจ้าเป็นคนทำซาลาเปาใช่หรือไม่ เจ้าไปทำเพิ่มอีกได้หรือไม่”

“กงกงหิวรึ”

ในความทรงจำของเจ้าของเดิม หลี่เต๋อฝูติดตามเย่จิ่งอวี้ มาตั้งแต่เด็ก และเป็นหนึ่งในคนที่เขาไว้วางใจมากที่สุด ฉะนั้นจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดี

หลี่เต๋อฝูกลอกตามองนางแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ข้าหิว แต่ฝ่าบาทหิว เจ้าไม่เห็นหรือว่าฝ่าบาทไม่แม้แต่จะเสวยสักคำ”

อินชิงเสวียนกล่าวว่า “บางทีอาจเป็นเพราะอากาศร้อนเกินไป จึงรู้สึกไม่อยากอาหารกระมัง”

“ข้าเห็นว่าฮ่องเต้ดูพอพระทัยกับอาหารจำพวกซาลาเปาและเกี๊ยวพวกนั้น ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะส่งเจ้าไปที่ห้องพระเครื่องต้น ฝ่าบาทตรวจฎีกามากมายเพียงนี้ หากไม่ได้เสวยสิ่งใด เกรงว่าพระวรกายจะทนไม่ไหว”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลี่เต๋อฝูก็มองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าเย่จิ่งอวี้ทำงานหนักมาก ตื่นเช้ากว่าไก่ นอนดึกกว่าสุนัข และมีงานไม่รู้จบทุกวัน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฮ่องเต้ในอดีตที่มีอายุยืนยาวมีไม่มากนัก

ถ้าขืนยังตรากตรำเช่นนี้ต่อไป มรณกรรมก็อยู่ไม่ไกลแล้ว

หลังจากจินตนาการถึงฉากอันยิ่งใหญ่ที่ตัวเองอุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นครองบัลลังก์แทน ริมฝีปากของอินชิงเสวียนก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

สักพักก็เก็บอาการกลับมา

ยามนี้เขาปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ คาดว่าเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ระยะหนึ่ง แต่ก็ยังต้องดูแลตัวเองให้ดีเสียก่อน แล้วค่อยไล่ตามความฝันอันยิ่งใหญ่

จากนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “ไม่มีปัญหาขอรับ เพียงแต่ข้าเอาแป้งทั้งหมดไปให้น้องสาวของข้าในวังเย็น หากอยากกินเกี๊ยว ต้องไปเอาที่นั่น”

หลี่เต๋อฝูขมวดคิ้ว กระซิบเสียงแผ่ว “จะไปเอาก็ได้ แต่เจ้าห้ามบอกฝ่าบาทเด็ดขาด เขาจะต้องห้ามเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในวังเย็นอย่างแน่นอน”

อินชิงเสวียนกลอกตา

“บ่าวทราบแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเถอะ เสี่ยวอานจื่อ เจ้ามาเฝ้าอยู่ที่นี่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์