สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 44

ณ วังเย็น

ไม่มีทหารองรักษ์เฝ้าอยู่ที่ประตู

บางทีอาจเป็นเพราะอินชิงเสวียนเสียชีวิต เย่จิ่งอวี้รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเปลืองกำลังคน

อินชิงเสวียนหยิบกุญแจที่ได้มาจากพี่น้องตระกูลหวัง แล้วพูดกับหลี่เต๋อฝู “ในนั้นมีสิ่งชั่วร้ายมากมาย หลี่กงกงไม่ควรเข้าไปดีกว่า ได้ยินจากน้องสาวว่ามีนางสนมฆ่าตัวตายขณะตั้งครรภ์ มักจะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้อยู่ในนั้น”

หลี่เต๋อฝูถอยไปสองก้าวทันที ถามด้วยสีหน้าลำบากใจ “เป็นเรื่องจริงหรือ”

ขันทีน้อยสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้ากังวลและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

อินชิงเสวียนพูดอย่างจริงจัง “จะไม่ใช่ได้อย่างไร ถ้าหลี่กงกงไม่เชื่อ ไปถามผู้อาวุโสในวังก็รู้แล้ว นอกจากนี้นะ สองพี่น้องตระกูลหวังก็ถูกทุบตีจนตายที่ประตูนี้”

“อา!”

หลี่เต๋อฝูถอยหลังไปอีกหลายก้าว เหล่าขันทีน้อยก็เริ่มลนลาน พวกเขาซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหลี่เต๋อฝู

อินชิงเสวียนเปิดประตูเสร็จแล้ว ทันทีที่หลี่เต๋อฝูรู้สึกถึงอากาศเย็นที่เข้ามาปะทะใบหน้า เขาก็ออกวิ่งไปไกลอีกหลายก้าว

“เจ้ารีบไปเอาเถอะ ที่นี่ไม่ต้องมาบ่อยๆ จะดีกว่า”

เมื่อเห็นสีหน้าหลี่เต๋อฝูกลายเป็นสีเขียวคล้ำด้วยความกลัว อินชิงเสวียนก็แอบหัวเราะเยาะและรีบเข้าไปในตำหนัก

ยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายได้ยินเสียงประตูจึงออกมาตรวจสอบ เมื่อเห็นอินชิงเสวียน กำลังจะคุยกับนาง แต่ก็เห็นอินชิงเสวียนยกนิ้วขึ้นบอกเป็นความหมายให้พวกนางเงียบๆ

ครั้นแล้วพวกนางทั้งสองตามอินชิงเสวียนเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

“พระสนม เกิดอะขึ้นหรือ”

อวิ๋นฉ่ายถามเบาๆ

อินชิงเสวียนลดเสียงตอบว่า “หลี่เต๋อฝู อยู่นอกประตู อย่าให้เขารู้เด็ดขาด”

ยายหลี่ตกใจมาก

“เหตุใดพระสนมถึงพาหลี่เต๋อฝูมาที่นี่ได้ เขารู้จักท่านหรือ”

อินชิงเสวียนยิ้มอย่างสงบและพูดว่า “ไม่เป็นไร ทุกคนรู้แล้วว่าพระสนมที่อยู่วังเย็นตายไปแล้ว ไม่สงสัยข้าหรอก ที่ข้ากลับมาเพราะจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเอานมผงไว้ให้เจ้าหมาน้อยเท่านั้น แต่ไม่ได้ให้น้ำพุเซียนไว้ ข้าเอามาให้เขาประเดี๋ยวก็จะไปแล้ว ถือโอกาสไปขอนมผงจากเซียนอาวุโสด้วย”

ที่จริงแล้วก็คือ ถ้าหากนำแป้ง เมล็ดข้าว รวมถึงธัญพืชออกมาจากกลางอากาศ ถ้าหลี่เต๋อฝูเห็นเข้าก็ไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไร ถ้าหลี่เต๋อฝูเห็นครั้งเดียวยังสามารถบอกได้ว่าเขาตาฝาด ถ้าให้เขาเห็นอีกครั้ง ตัวเองคงกลายเป็นปีศาจเข้าจริงๆ

อวิ๋นฉ่ายกับยายหลี่ต่างก็รู้ถึงประโยชน์ของน้ำพุเซียน ต่างก็พยักหน้าพร้อมกัน

เมื่ออินชิงเสวียนเข้าไปในห้อง ก็เห็นว่าเจ้าหมาน้อยกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงของนาง ใบหน้าเล็กๆ ที่เป็นสีขาวอมชมพู จมูกเล็กๆ ที่โด่งมากขึ้นเรื่อยๆ และริมฝีปากสีชมพูคู่หนึ่งที่ถูกเม้มแน่น ท่าทางนั้นช่วงดูเหมือนเย่จิ่งอวี้จริงๆ

อินชิงเสวียนอยากจุมพิตใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความนุ่มนิ่มนั้นสักครั้ง แต่ก็กลัวเจ้าหมาน้อยตื่น นางจึงรีบเข้าไปในมิติทันที

จากนั้นนางก็รู้ว่าพืชผลภายในมิติโตเต็มที่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นข้าวสาลีและข้าว นอกจากนี้ อินชิงเสวียนยังปลูกฟักทองและฟักเขียวไว้อีกด้วย

ใช้การเก็บเกี่ยวโดยอัตโนมัติของมิติ จากนั้นจึงปลูกต่อ โดยเหลือแปลงยกร่องไว้เล็กน้อยเพื่อปลูกกระเทียมและต้นหอม ถึงอย่างไรพืชพรรณที่อยู่ในมิตินั้นเติบโตเร็วมาก ดังนั้นเมื่ออินชิงเสวียนนึกถึงสิ่งใดก็จะปลูกสิ่งนั้นไว้เล็กน้อย

ปัจจุบันนางมีคะแนนอยู่ในมือมากกว่า 300 คะแนน นางสะสมคะแนนได้มากมายเนื่องจากนางไม่ได้ทำธุรกิจมาระยะหนึ่งแล้ว อินชิงเสวียนใช้คะแนนแลกเป็นนมผงหลายโหลอย่างรวดเร็ว แล้วก็ทำอ่างน้ำพุวิญญาณขนาดใหญ่ แล้วจึงย้ายผลไม้ข้างในออกมาเล็กน้อย แลกแป้งหมี่และข้าวสารไว้สิบชั่ง แล้วแบ่งบรรจุไว้ถุงละหนึ่งชั่ง ยังนำต้นหอม น้ำส้มสายชูดำ และซีอิ๊วออกมาด้วย

หากต้องการทำเกี๊ยวต้องมีหอมสับ ไม่เช่นนั้นรสชาติจะแย่มาก หากไม่มีซีอิ๊วก็ปรุงไส้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ อินชิงเสวียนจึงใช้สองคะแนนแลกขวดที่ดูโบราณมาสองขวด เพื่อบรรจุเครื่องปรุงทั้งสองชนิดนี้

อวิ๋นฉ่ายกุลีกุจอเข้ามารับน้ำพุวิญญาณ ยายหลี่ก็ย้ายผักและผลไม้ทั้งหมดออกไปด้วย

“พระสนม เท่านี้ก็พอแล้ว”

อินชิงเสวียนพยักหน้าและพูดว่า “ก็ได้ ข้าจะออกไปก่อน จะชักช้าไม่ได้ พวกเจ้าต้องอดทนสักระยะ ถึงยามนั้นพวกเราจะออกไปด้วยกัน”

ยายหลี่ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้ที่นี่พวกเรามีทั้งอาหารและเครื่องดื่มแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของขวัญจากสวรรค์ ราวกับใช้ชีวิตอยู่ในสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน ไม่เรียกว่าอดทน แต่เรียกว่าเพลิดเพลินด้วยซ้ำ”

เมื่อได้ยินดังนั้นอวิ๋นฉ่ายก็พยักหน้าหงึกหงัก

“ใช่แล้สเพคะพระสนม หากมีอาหารมีเครื่องดื่มให้กินทุกวัน จะอยู่ในวังเย็นตลอดชีวิตก็ไม่เลวเลย”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนอารมณ์ดี อินชิงเสวียนจึงไม่พูดอะไรอีก ท้ายที่สุดนางไม่รู้ว่าจะสามารถออกไปข้างนอกได้เมื่อใด แผนการในตอนนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงต้องทำตามไปเป็นขั้นตอนเท่านั้น

หลี่เต๋อฝูอยู่นอกประตูกำลังรออย่างหงุดหงิด แต่เขาไม่ต้องการก้าวเข้าไปในสถานที่เช่นนี้ กำลังจะให้ขันทีน้อยที่อยู่ข้างๆ เข้าไปดู ก็เห็นอินชิงเสวียนถือถุงใบใหญ่สองถุงเดินโซเซออกมาจากข้างใน

หลี่เต๋อฝูชี้สั่งขันทีน้อยทั้งสองอย่างรวดเร็ว

“รีบไปรับมาเร็ว”

พวกเขาทั้งสองวิ่งไปหาอินชิงเสวียน แบ่งกันรับข้าวแป้งหมี่ จากนั้นทั้งสี่คนก็เดินไปที่ห้องพระเครื่องต้น

ทุกคนในวังไม่มีผู้ใดไม่รู้จักหลี่เต๋อฝู ทันทีที่พวกเขาเห็นหัวหน้าหลี่มา พวกเขาก็พยักหน้าและโค้งคำนับ

หลี่เต๋อฝูยืดหลังตรง โบกมือแล้วพูดว่า “พวกเจ้าถอยไปก่อน แล้วก็ยกเตาขึ้นด้วย”

พวกคนครัวไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่พวกเขาก็ยังถอยออกไป

อินชิงเสวียนก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะชี้ชวนกันดู เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยเห็นแป้งหมี่

นางมองหาอ่างผสม แล้วนำแป้งหมี่เทลงไป เทน้ำตามลงไป นวดจนขึ้นเป็นก้อน พอพักแป้งได้ที่แล้วก็ไปขอเนื้อจากพ่อครัวมาสับเป็นชิ้นละเอียด

พ่อครัวยืนเรียงแถวกันดูอินชิงเสวียนทำงาน หลี่เต๋อฝูไม่ได้พูดอะไร พวกเขาก็ไม่กล้าถาม แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจ หรือว่านี่เป็นพ่อครัวคนใหม่ของวังหลวง

แต่ก็ไม่น่าใช่ ชายผู้นี้สวมชุดขันทีชัดๆ

นอกจากนี้ผงขาวๆ นั่นคืออะไร แล้วก็ผักที่มีกลิ่นฉุนนั่นอีก เป็นอะรกันแน่ พวกเขาอยู่ในวังมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยไม่ยินเรื่องนี้มาก่อน

ในขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อินชิงเสวียนก็สับเนื้อเสร็จแล้ว จากนั้นจึงหยิบขวดกระเบื้องเคลือบออกจากอกเสื้อ แล้วเทลงในไส้เนื้อสับ

เมื่อเห็นน้ำดำๆ ที่ไหลออกมา หลี่เต๋อฝูก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นี่คืออะไร”

เหตุใดจึงมีสีเข้มเหมือนยาพิษ

“นี่น้ำปรุงที่ใช้ปรุงรสโดยเฉพาะ ไม่ต้องกังวล ไม่มีพิษ”

แน่นอนว่าหลังจากเติมซีอิ๊วแล้ว กลิ่นหอมก็โชยมา และแม้แต่ไส้ที่ยังเป็นเนื้อดิบๆ ก็ยังทำให้พ่อครัวหลายคนกลืนน้ำลายเอื้อก

จากนั้นอินชิงเสวียน ก็หยิบแป้งออกมารีดเป็นเส้น แล้วแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนางก็หยิบไม้นวดแป้งที่ใช้คะแนนแลกมาออกมา แล้วใช้มือรีดแป้งเป็นวงกลม

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอีกครั้ง

ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ ช่างเปิดหูเปิดตาจริงๆ

อินชิงเสวียนหยิบแผ่นแป้งขึ้นมา แล้วใช้ช้อนเล็กๆ ตักใส้เข้าไป ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจว่าอินชิงเสวียนบีบด้วยวิธีใด เกี๊ยวชิ้นใหญ่ก็ถูกห่อไว้ในลักษณะที่เหมือนก้อนทองหยวนเป่าแล้ว

พ่อครัวทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน

น่าทึ่งมาก มีวิธีกินเนื้อสัตว์เช่นนี้ด้วย

ผ่านไปอีกหนึ่งเค่อ อินชิงเสวียนก็ห่อแป้งเกี๋ยวไปได้มากกว่าสามสิบชิ้นแล้ว

คงเพียงพอให้คนสารเลวเย่จิ่งอวี้กินแล้ว จึงหันกลับมาแล้วพูดว่า “พวกเจ้าผู้ใดก็ได้ช่วยจุดไฟและต้มน้ำครึ่งหม้อให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”

ทันใดนั้นพ่อครัวก็วิ่งเข้ามา

“ข้าเอง”

เขาสูดหายใจแรงขณะพูด ของสิ่งนี้มีกลิ่นหอมมาก หวังว่าจะได้ลิ้มรสสักชิ้น

หลังจากนั้นไม่นาน น้ำก็เดือด อินชิงเสวียนก็นำเกี๊ยวลงหม้อ หลังจากต้มสองครั้งก็พลิกเกี๊ยวกลับด้าน

อินชิงเสวียนใช้กระชอนเหล็กตักเกี๊ยวออกมา แล้วจึงล้างเร็วๆ ด้วยน้ำเย็นเพื่อป้องกันไม่ให้เกี๊ยวติดกันเมื่อร้อนเกินไป

แล้วจึงพูดกับหลี่เต๋อฝู “ไปกันเถอะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์