สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 45

เมื่อได้กลิ่นหอมเกี๊ยวจางๆ หลี่เต๋อฝูก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

ส่วนคนที่เหลือต่างจ้องมองไปที่หยวนเป่าชิ้นขาวๆ อ้วนๆ นั่น

เกี๊ยวที่อินชิงเสวียนปรุงออกมานั้นสวยงามมาก ช่วงท้องกลม ด้านข้างของเกี๊ยวก็บางมาก แค่มองดูก็น่ารับประทานมากแล้ว

หลี่เต๋อฝูอดไม่ได้ที่จะมองดูเกี๊ยวด้วยสายตาแรงกล้า โบกมือแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ”

หลังจากพูดจบเขาก็นำอินชิงเสวียนออกจากห้องพระเครื่องต้นด้วยท่วงท่าสง่างาม

อินชิงเสวียนรีบนำซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูดำมาอย่างรวดเร็ว และติดตามหลี่เต๋อฝูกลับไปที่ห้องหนังสือ

เย่จิ่งอวี้ยังคงตรวจฎีกาอยู่ โดยมีเสี่ยวอานจื่อคอยพัดให้อยู่ข้างๆ

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็เงยหน้าขึ้น และขมวดคิ้วเมื่อเห็นหลี่เต๋อฝูเข้ามาพร้อมกล่องอาหาร

“เราบอกว่าไม่หิว เหตุใดจึงนำมาอีก”

หลี่เต๋อฝูหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของเสี่ยวเสวียนจื่อพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ไม่ทรงอยากลองชิมหรือ”

“โอ้” เย่จิ่งอวี้วางฎีกาลง แล้วมองไปที่อินชิงเสวียนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังหลี่เต๋อฝู

หลี่เต๋อฝูกล่าวเสริม “นี่คือเกี๊ยวที่ทำจากแป้งหมี่ กระหม่อมเห็นว่าฝ่าบาทดูชอบมาก จึงให้เสี่ยวเสวียนจื่อปรุงมาให้ฝ่าบาท”

เมื่อเปิดฝากล่องอาหาร กลิ่นหอมจางๆ ก็ลอยกรุ่นออกมา

อินชิงเสวียนรีบหยิบซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูดำออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วเทใส่จานข้างๆ

“ฝ่าบาท เกี๊ยวต้องจิ้มกับสิ่งนี้ถึงจะอร่อย”

“ทรงลองดูพ่ะย่ะค่ะ”

ขณะที่หลี่เต๋อฝูพูด เขาก็หยิบเข็มเงินออกมาและจิ้มตรวจเกี๊ยวทีละชิ้น เมื่อเห็นน้ำแกงที่อยู่ในเกี๊ยวทะลักออกมา อินชิงเสวียนก็พูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ช่างสิ้นเปลืองจริงๆ

เย่จิ่งอวี้ทนมองไม่ไหวอีก พูดเสียงเรียบ “พอแล้ว เขาไม่ทำร้ายเราหรอก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น ก็สบเข้ากับดวงตาอันลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุดของเย่จิ่งอวี้โดยไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อสบตากัน หัวใจของอินชิงเสวียนก็เต้นแรงอย่างอธิบายไม่ถูก นางรีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว

เย่จิ่งอวี้ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย หยิบตะเกียบขึ้นมาจุ่มลงในเครื่องปรุงรสที่อินชิงเสวียนเตรียมไว้ แล้วกินเข้าไป รสชาตินั้นแตกต่างออกไปจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า

“ไม่เลว”

เมื่อเห็นว่าในที่สุดฮ่องเต้ก็ยอมเสวย หลี่เต๋อฝูก็รู้สึกมีความสุข รีบคว้าพัดจากมือของเสี่ยวอานจื่อ และพัดให้เย่จิ่งอวี้ด้วยตัวเอง

ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เย่จิ่งอวี้ได้กินเกี๊ยวไปแล้วกว่าสามสิบชิ้นแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่อิ่มหนำดีด้วยซ้ำ

“ไม่นึกว่าบ่าวเล็กๆ อย่างเจ้าจะทำอาหารได้”

อินชิงเสวียนพูดด้วยท่าทางประจบประแจง “ขอบพระทัยสำหรับคำชมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเรียนมาจากท่านย่า”

“เจ้ามีย่าด้วยรึ”

เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นด้วยความสนใจ บอกว่ามีแม่อายุแปดสิบปีกับลูกเล็กที่กำลังรอให้ป้อนอาหารอยู่ไม่ใช่หรือ

ดวงตาของอินชิงเสวียนมืดลง กระซิบเสียงเบา “ตอนนี้ไม่มีแล้ว ไม่อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว”

เย่จิ่งอวี้เดาว่าย่าของเขาอาจจะจากไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “เจ้ายังทำตามรสมือของนางได้ ซึ่งเป็นการถ่ายทอดของความคิดถึง ตราบใดที่ความคิดถึงนี้ยังคงอยู่ ย่าเจ้าก็จะอยู่กับเจ้า”

อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางไม่คิดว่าเย่จิ่งอวี้จะพูดคำเชิงปรัชญาเช่นนี้

หากคิดให้รอบคอบ ก็ดูจะเป็นจริงเช่นนั้น หากคนผู้หนึ่งไม่มีผู้ใดในโลกที่สามารถจดจำเขาได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าคนผู้นั้นได้จากโลกนี้ไปจริงๆ

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ

เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็เห็นเย่จิ่งอวี้ตรวจฎีกาแล้ว

เขาจรดพู่กันอย่างรวดเร็ว ในห้องหนังสือมีเพียงเสียงกรอบแกรบของการเขียนอักษร บางครั้งเขาก็หยุดคิด ท่าทางที่เคร่งขรึมจริงจังของเขาก็ดูหล่อเหลาอย่างอธิบายไม่ได้

ถุย!

แต่ไม่อาจจำแนกเย่จิ่งอวี้ว่าเป็นคนดีเพียงเพราะเขาตรวจฎีกาเท่านั้น มีฮ่องเต้ผู้ใดบ้างที่ไม่ตรวจอ่านฎีกา เขาก็เป็นเพียงคนขยันมากกว่า

เมื่อนึกถึงท่าทางไม่แยแสของเขาต่อการตายของเจ้าของร่างเดิม อินชิงเสวียนก็โกรธอีกครั้ง

ถึงอย่างไรก็เป็นคู่สามีภรรยากันคืนหนึ่ง เย่จิ่งอวี้เจ้าสารเลวผู้นี้ก็ใจร้ายเกินไป

แค่ใส่กระดูกสองชิ้นในโถก็จบเรื่อง ช่างง่ายดายเหลือเกิน

เมื่อคิดถึงความจริงที่ว่าเจ้าของร่างเดิมตั้งครรภ์ในวังเย็นตลอดทั้งปี ยังต้องอดทนต่อความหิวโหยและความหนาวเย็น ในที่สุดความประทับใจดีๆ ที่มีต่อเย่จิ่งอวี้ก็หายไปในทันที

นางต้องหาทางออกให้เร็วที่สุด จะเสียเวลาอยู่กับเขาเช่นนี้ไม่ได้

ตอนนี้อยู่ในวัง เฝ้ารับใช้บรรดาเจ้านายผู้ร่ำรวยกลุ่มใหญ่ และมีร้านคะแนนที่ยอดเยี่ยม ยังต้องหาทางขายของในนั้น ถ้าต้องออกจากวังจริงๆ จะหาเจ้านายที่ร่ำรวยมากมายเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเย่ไห่ถัง

ในเมื่อทำการค้ากับฮ่องเต้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ไปทำการค้ากับองค์หญิงแทนก็ได้

ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ของนางเหล่านี้ รับประกันว่าองค์หญิงจะต้องชื่นชอบ

ในขณะที่อินชิงเสวียนกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลู่จิ้งเสียนก็มาถึงตำหนักฉือหนิงแล้ว

ทันทีที่เข้าไปในในลานเรือน ก็ร้องไห้และพูดว่า “เสด็จแม่ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันนะเพคะ!”

ไทเฮาที่เพิ่งกลับมาถึงตำหนักหลังจากไปคุยกับเย่จิ่งเย่ามา เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้โหนหวนดั่งหมาป่าหอนของลู่จิ้งเสียน ก็อดขมวดคิ้วเสียมิได้

“เสียนเอ๋อร์ชักจะไร้การอบรมขึ้นทุกทีแล้ว”

ทันทีที่พูดจบ ลู่จิ้งเสียนก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอกและคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังตุบ

“เสด็จแม่ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับหม่อฉันนะเพคะ”

“เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว”

ไทเฮาถามอย่างหมดความอดทน

ลู่จิ้งเสียนเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเย่จิ่งเย่าทันที พูดด้วยความประหลาดใจ “ท่านอ๋อง ท่านกลับมาแล้วหรือ”

เย่จิ่งเย่ายกริมฝีปากยิ้ม กวาดสายตามองทรวงอกชูชันของนาง

“ไม่พบหน้ากันเป็นปี น้องจิ้งเสียนดูมีน้ำมีนวลขึ้นนะ”

ใบหน้าของลู่จิ้งเสียนเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย “ท่านอ๋องแกล้งข้าอีกแล้ว”

ไทเฮากระแอมไปขัดจังหวะการสนทนาระหว่างทั้งสอง

“ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้เจ้ากลายเป็นสตรีบ้าและประพฤติตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้”

น้ำตาของลู่จิ้งเสียนร่วงเผาะทันที

“เสด็จแม่ ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาลดตำแหน่งหม่อมฉันให้อยู่ขั้นผินเพคะ”

“อะไรนะ” ไทเฮารีบนั่งตัวตรงทันที

เว้นแต่จะมีข้อผิดพลาดร้ายแรง โดยทั่วไปแล้วฮ่องเต้จะไม่ลดตำแหน่งสนมของเขาตามความประสงค์

“เจ้าทำอะไรอีกแล้ว”

ลู่จิ้งเสียนพูดอย่างเสียใจ “หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แค่อยากได้ขันทีน้อยคนเดียว ทันทีที่พาเขาเข้าไปในตำหนัก ฝ่าบาทก็พาคนมาเอาตัวเขาคืน ไม่เพียงโบยชุ่ยจู๋และขันทีนางกำนัลในตำหนักเท่านั้น แต่ยังลดตำแหน่งหม่อมฉันให้เป็นผินด้วย”

ยิ่งลู่จิ้งเสียนคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด นางก็ยิ่งเศร้าเสียใจมากขึ้นเท่านั้น และน้ำตาของนางพรูออกมาเหมือนลูกปัดสายขาด

ไม่ได้ถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮานางก็อับอายมากอยู่แล้ว บัดนี้ยังมาถูกลดตำแหน่งอีก นางไม่มีหน้าที่จะพบผู้ใดอีกต่อไป

ไม่รู้ว่าเหล่าหญิงงามในวังหลังจะวิพากษ์วิจารณ์นางว่าอย่างไรบ้าง

เย่จิ่งเย่าหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ช่างแปลกจริงๆ ถึงกับลดตำแหน่งเจ้าเพื่อขันทีน้อยผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่ ถึงได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้เพียงนี้”

ทันใดนั้น เขานึกถึงขันทีน้อยที่ดูละม้ายคล้ายคลึงกับอินชิงเสวียนจริงๆ และถามด้วยความสนใจ “ขันทีน้อยที่เจ้าพูกถึง มีหน้าตาเป็นอย่างไร”

ลู่จิ้งเสียนพูดด้วยความขุ่นเคือง “หน้าขาวๆ สะดุดตาผู้คน จะต้องใช้ความต่ำทรามเช่นนั้นทำให้ผ่าบาทพอพระทัยแน่ๆ”

ดวงตาของเย่จิ่งเย่าฉายแววปลกๆ

หรือว่าคนผู้นั้นจะเป็นอินชิงเสวียนจริงๆ

หรือว่าสาเหตุที่เย่จิ่งอวี้โยนนางเข้าไปในวังเย็นก็เพื่อซ่อนนางจากผู้อื่น และเปลี่ยนตัวตนของนางเพื่อให้นางอยู่เคียงข้างเขา

เสด็จพี่ฮ่องเต้ของเขาผู้นี้เริ่มน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์