ไทเฮาไม่เคยพบกับอินชิงเสวียน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าลูกชายของนางกำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากฟังคำพูดของลู่จิ้งเสียนแล้ว นางพูดด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ฮ่องเต้จะเลินเล่อเช่นนี้ได้อย่างไร แค่ขันทีผู้หนึ่งถึงกับต้องลดตำแหน่งเจ้าด้วย ช่างไร้วุฒิภาวะจริงๆ เย่าเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งกลับมาจากไปเฝ้าสุสานหลวง ก็ควรไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้หน่อย พวกเราจะเข้าไปดูกันว่าขันทีเช่นไรถึงทำให้ฮ่องเต้ร้อนใจเพียงนี้”
ลู่จิ้งเสียนพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวทันที
“เสด็จแม่ ท่านให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันนะเพคะ”
เย่จิ่งเย่ายื่นมือออกไปพยุงไทเฮา
“ก็ได้ ข้าก็ควรไปดูสักหน่อยเหมือนกัน”
ครั้นแล้วขบวนคนกลุ่มใหญ่ก็ออกจากตำหนักฉือหนิง มีขันทีนางกำนัลถือพระกลดพู่สีเหลือทองเดินตามหลัง มุ่งหน้าไปยังห้องหนังสืออย่างสง่างาม
อินชิงเสวียนกำลังเหม่อมองฟ้า ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสี่ยวอานจื่อตะโกนจากด้านนอกว่า “ไทเฮาเสด็จ อันผิงอ๋องเสด็จ พระสนมเสียนผินเสด็จ”
อันผิงอ๋องรึ
เขาเป็นบุรุษระยำที่เจ้าของร่างเดิมชอบไม่ใช่หรือ
เหตุใดจู่ๆ เขาจึงเข้ามาในวัง
ถ้าเขาจำตัวเองได้จะทำเช่นไรดี
ทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็เหงื่อแตกพลั่ก รีบวิ่งไปข้างหลังเย่จิ่งอวี้ พยายามย่อตัวเองให้เล็กที่สุด
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย วางพู่กันขนหมาป่าในมือลง
ไทเฮาเดินเข้ามาก่อน ตามมาด้วยเย่จิ่งเย่าและลู่จิ้งเสียนที่ตามมาติดๆ
อินชิงเสวียนมองไปยังเย่จิ่งเย่าโดยไม่รู้ตัว
เค้าหน้าของเขาดูคล้ายคลึงกับเย่จิ่งอวี้อยู่หลายส่วน แต่โหนกแก้มของเขาสูงมา ริมฝีปากบางเกินไป และรูปลักษณ์ของเขาดูเย็นชาเล็กน้อย
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาพูดถึงการแต่งงานกับเจ้าของร่างเดิม แต่พอคล้อยหลังเขาก็ไปแต่งงานกับผู้อื่น เป็นบุรุษที่เลวทรามกว่าเย่จิ่งอวี้ด้วยซ้ำ
ขณะที่คิดเรื่องนี้ เย่จิ่งอวี้ก็ลุกขึ้นยืนแล้ว
“อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ เหตุใดเสด็จแม่ถึงมาที่นี่ได้”
เย่จิ่งเย่าได้ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงบนพื้นแล้ว
“น้องขอถวายบังคมฝ่าบาท เดิมทีควรมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน แต่ได้ยินมาว่าระยะนี้ไทเฮาทรงประชวร ดังนั้นจึงไปที่ตำหนักฉือหนิงก่อน หวังว่าฝ่าบาทจะให้อภัยด้วย”
เย่จิ่งอวี้เดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะและพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “เจ้ากับเราล้วนเป็นพี่น้องกัน เหตุใดเจ้าถึงต้องมีมารยาทมากเพียงนี้ เดิมทีอันผิงอ๋องเป็นโอรสสายตรงของไทเฮา ควรไปถวายพระพนที่ตำหนักฉือหนิงก่อนก็ถูกแล้ว”
“น้องขอบพระทัยฝ่าบาทที่เข้าใจ”
เย่จิ่งเย่ายืนขึ้นจากพื้น หันไปมองขันทีน้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้มังกร
อินชิงเสวียนก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว แต่นางยังคงสัมผัสได้ถึงการจ้องมองจากด้วยตาราวกับอสรพิษร้ายคู่นั้น หัวใจเต้นแรงอย่างอดไม่ได้
แย่แล้ว คราวนี้จบเห่แล้ว
เจ้าของร่างเดิมรู้จักเย่จิ่งเย่ามานานแล้ว เขาต้องจำตัวเองได้แน่นอน ถ้าเกิดเขาเปิดเผยตัวตนต่อหน้า ควรทำเช่นไรดี
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
ลู่จิ้งเสียนก็คุกเข่าลงเช่นกัน ดวงตาของนางบวมแดงจากการร้องไห้
เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเรียบ “ลุกขึ้น”
ไทเฮานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ แล้ว หลี่เต๋อฝูรีบไปชงชามาให้ทั้งหมดด้วยความรวดเร็ว ไทเฮาจิบชาอย่างไม่เร่งรีบ มองดูเย่จิ่งอวี้แล้วพูดว่า “เมื่อวานเสียนเอ๋อร์ไปหาข้า บอกว่าชอบขันทีน้อยผู้หนึ่ง เข้าวังมาตั้งนาน เสียนเอ๋อร์ไม่เคยขออะไรจากข้าเลย ข้าจึงอนุญาตแล้ว แต่ดลับได้ยินว่าฮ่องเต้หักหน้าเสียนเอ๋อร์เพราะเรื่องนี้ ทั้งยังลดตำแหน่งนาง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...