สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 47

เย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ “น้องกับพระชายาอ๋องก็ไม่ได้เจอกันมาหนึ่งปีแล้ว ถึงเวลากลับไปหากันแล้ว หากมีเวลาก็พาพระชายาอ๋องเข้ามาในวังมาเยี่ยมเสด็จแม่ได้”

เย่จิ่งเย่ายกมือขึ้นประกบคำนับแล้วพูดว่า น้องน้อมรับพระบัญชา ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กระหม่อมขอทูลลา”

เมื่อเห็นว่าการคืนตำแหน่งของลู่จิ้งเสียนนั้นเป็นไปได้ยากแล้ว ไทเฮาก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน

ยิ้มอย่างใจดีและพูดว่า “ในเมื่อฝ่าบาทยุ่งอยู่กับราชกิจ เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนแล้ว เสียนเอ๋อร์ จำสิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสได้แล้วนะ ตราบใดที่เจ้าช่วยดูแลวังหลังอย่างดี ฮ่องเต้จะคืนตำแหน่งสนมขั้นเฟยให้เจ้าเอง”

ลู่จิ้งเสียนพูดด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ หม่อมฉันจะเชื่อฟังคำสอนของฝ่าบาทอย่างแน่นอน”

เย่จิ่งอวี้ส่งไทเฮาไปที่ประตูและโค้งคำนับเล็กน้อย “ลูกน้อมส่งไทเฮา”

“กลับไปเถอะ ราชกิจของเจ้าจะล่าช้าไม่ได้”

ไทเฮาคลี่ยิ้มพลางโบกมือ ทันทีที่ออกจากห้องหนังสือ ความมีเมตตบนใบหน้าก็หายไปทันที

“ฮ่องเต้ทำเพื่อขันทีน้อยถึงเพียงนี้ เขาเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ หรือว่าเขาคิดไม่ธรรมดากับขันทีน้อยผู้นั้นจริงๆ”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลู่จิ้งเสียนก็รู้สึกเสียใจมากยิ่งขึ้น

“หม่อมฉันเทียบไม่ได้กับขันทีเล็กๆ หรือเพคะ ไม่ว่าหม่อมฉันจะทำอะไร ฝ่าบาทก็ไม่แยแส หรือว่าหม่อมฉันเป็นม่ายในวังหลังไปตลอดชีวิตจริงๆ”

ไทเฮาตำหนิว่า “อย่าพูดเหลวไหล”

ลู่จิ้งเสียนปิดปากทันที

เย่จิ่งเย่ายิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาจากหลี่เต๋อฝูว่า เมล็ดพันธุ์ที่ฝ่าบาทปลูกในสวนอวิ๋นเซียงนั้นได้รับมาจากพี่ชายของขันทีน้อยที่มาจากฮว๋าเซี่ย เป็นเรื่องปกติที่เขาจะได้รับความสำคัญ น้องเสียนไม่ควรไปพัวพันกับเรื่องนี้ ถ้าอยากให้เสด็จพี่พอใจเจ้า เจ้าต้องรุกให้มากกว่านี้ ไม่เคยได้ยินเรื่องที่สตรีไล่ตามบุรุษหรอกหรือ”

ลู่จิ้งเสียนเม้มปากกล่าวว่า “จะให้รุกอย่างไรอีก ทุกครั้งที่ข้าส่งของไป เขาไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ”

ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว คิดในใจว่า ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ หากฮ่องเต้โปรดปรานผู้อื่นก่อน ตำแหน่งของเสียนเอ๋อร์จะต้องตกอยู่ในอันตราย

นับตั้งแต่เย่จิ่งอวี้ขึ้นครองบัลลังก์ ลู่อานผู้เป็นราชเลขาธิการก็ถูกละเลย หากลู่จิ้งเสียนยังคงล้มเหลวต่อไป ตระกูลลู่ คงจะถึงวาระสุดท้ายแล้วจริงๆ

แม้ว่าเย่จิ่งเย่าจะเป็นโอรสสายตรงของฮ่องเต้ผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่จะทำเช่นไรได้เพราะต้องยึดตามหลักความอาวุโส บัลลังก์ก็ถูกเย่จิ่งอวี้ออกอุบายจนได้ครองบัลลังก์

แน่นอนว่าต้องมีคนตรงกลางคอยเติมเชื้อเพลิงให้เปลวไฟ!

เมื่อนึกถึงพายุนองเลือดเมื่อปีที่แล้ว นัยน์ตาของไทเฮาก็ฉายแววเย็นชาอย่างอดไม่ได้

ถ้าตาเฒ่าอินจ้งยอมช่วยเหลือเย่จิ่งเย่า เย่าเอ๋อร์ก็คงไม่ลงเอยด้วยการเฝ้าสุสานหลวง

บัดนี้พวกเขาถูกส่งไปยังชายแดน นับว่าโชคดีของพวกเขาแล้ว

โชคดีหญิงแซ่อินผู้นั้นตายไปแล้ว อย่าหวังว่าชาตินี้ตระกูลอินจะสามารถหวนคืนได้อีก

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ริมฝีปากของไทเฮาก็โค้งเป็นรอยยิ้มเยาะ

แต่กลับได้ยินเย่จิ่งเย่าพูดว่า “วันนี้อากาศร้อน เสด็จแม่กลับตำหนักเร็วๆ เถอะพ่ะย่ะค่ะ ลูกก็ควรกลับจวนอ๋องแล้ว เดี๋ยวลูกพักผ่อนอีกสักระยะ แล้วจะมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่ใหม่”

ไทเฮาจึงตื่นจากภวังค์ พูดด้วยสีหน้ารักใคร่ “ได้ เจ้าก็ควรอยู่กับซิ่วหนิงให้มากๆ ตระกูลเจียงยังคงมีประโยชน์”

“ลูกทราบแล้ว”

เย่จิ่งเย่าโค้งคำนับและออกจากวัง

หลังจากขึ้นเกี้ยวแล้ว รอยยิ้มก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา

เดิมทีเขากำลังคิดว่าจะจัดการกับเย่จิ่งอวี้อย่างไร แต่ไม่คาดคิดว่าสวรรค์จะให้โอกาสอันยิ่งใหญ่แก่เขา

อินชิงเสวียนไม่กล้ายืนอยู่ภายใต้การจ้องมองของเขา ซึ่งพิสูจน์ว่านางยังคงมีความแสลงใจ

ถ้านางยังคงแสลงใจ ก็แสดงว่านางยังไม่ลืมความรัก

การจัดการกับผู้หญิงไร้สมองเช่นนี้ แค่หยอดคำหวานไม่กี่คำก็พอ

หากนางได้รับความไว้วางใจจากเย่จิ่งอวี้จริงๆ การวางยาพิษพี่ชายตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องยาก

เมื่อคิดถึงการวางแผนมานานกว่าหนึ่งปี รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่จิ่งเย่าก็สดใสขึ้นเล็กน้อย

ณ ห้องหนังสือ

หลังจากที่ทั้งสามคนจากไป เย่จิ่งอวี้ก็หมดอารมณ์ที่จะตรวจอ่านฎีกาทันที

เขาเอามือไพล่หลังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง แววตามืดมนไหวระริก

อินชิงเสวียนกับหลี่เต๋อฝูต่างมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็ก้มหน้าลง

พวกเขาทั้งสองไม่รู้ว่าเย่จิ่งอวี้คิดอะไรอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้ารบกวนเป็นธรรมดา

หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ เย่จิ่งอวี้ก็ถามเสียงเรียบ “ในวังมีหญิงงามเท่าใด”

หลี่เต๋อฝูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “มีทั้งหมดสามสิบสามคนพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ถามอีกครั้ง “ในบรรดาหญิงงามเหล่านี้มีผู้ที่สั่งสอนยากหรือไม่”

หลี่เต๋อฝูไม่เข้าใจความหมายของฝ่าบาทเลย และพูดด้วยท่าทางสับสน “หญิงงามที่เข้ามาในวังล้วนถูกคัดเลือกมาอย่างดี พวกนางมาจากตระกูลใหญ่ ย่อมมีคุณสมบัติเพียบพร้อมเป็นธรรมดา ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดที่ปฏิบัติตัวนอกกฎเกณฑ์เลยพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้เอามือไพล่หลังและมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วพูดว่า “เราเห็นว่าซูฉ่ายเวยมีความกล้าหาญมาก นางช่างบ้าคลั่งไม่ต่างจากเสียนผินเลย”

หลี่เต๋อฝูเข้าใจทันที

“ฝ่าบาทต้องการ…”

เย่จิ่งอวี้พูดอย่างสบายๆ “ไม่เฮาเรียกร้องให้เรามอบตำแหน่งแก่พวกนางมิใช่หรือ เช่นนั้นเราก็จะทำตามความปรารถนาของนาง หลี่เต๋อฝู เจ้าไปถ่ายทอดคำสั่ง แต่งตั้งซูฉ่ายเวยเป็นหลิงผิน และให้รางวัลนางด้วยเครื่องประดับผ้าพับจำนวนหนึ่ง”

หลี่เต๋อฝูหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้ว จะไปถ่ายทอดคำสั่งเดี๋ยวนี้”

อินชิงเสวียนมองไปที่ด้านหลังศีรษะของเย่จิ่งอวี้ด้วยสีหน้าสับสน นางใช้เวลาอึดใจหนึ่งเต็มๆ ถึงได้เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร

ความสัมพันธ์ระหว่างซูฉ่ายเวยและลู่จิ้งเสียนจะเป็นแบบหมากัดกัน บัดนี้พวกนางทั้งคู่มีตำแหน่งขั้นผินเช่นกัน ซูฉ่ายเวยย่อมต้องล้างแค้นเอาคืนอย่างแน่นอน

ไม่เสียทีที่เป็นฮ่องเต้ กลอุบายมากมายจริงๆ

ต่อไปนี้จะไม่กล้าวางอุบายต่อหน้าเย่จิ่งอวี้อีกแล้ว หากทำให้เขารำคาญ ไม่แน่ว่าตัวเองอาจโดนจัดการไปก่อน

ขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ รองเท้าปักลายมังกรคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า

อินชิงเสวียนสะดุ้ง และเมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางก็พบกับดวงตาสีดำสนิทของเย่จิ่งอวี้

นางอดไม่ได้อุทานขึ้นและถอยกลับไปหลายก้าว

เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็หัวเราะเบา ๆ

“เราไม่กินเจ้าหรอกน่า เจ้ากลัวอะไร”

อินชิงเสวียนรีบเอามือปิดปาก แล้วพูดว่า “กระหม่อมกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ จึงไม่ได้ระวัง”

“กำลังคิดอะไรอยู่ เล่าให้เราฟังทีสิ”

เย่จิ่งอวี้มองนางด้วยความสนใจ

“ความจริงกระหม่อมยังมีเมล็ดผลไม้อยู่บ้าง กำลังคิดว่าจะลองเอาไปปลูกที่สวนอวิ๋นเซียงพ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนเริ่มพูดจ้ออีกครั้ง

เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้วและถามอย่างสงสัย “เหตุใดเจ้าถึงนำเมล็ดพืชมามากมายเพียงนี้เข้ามาในวัง”

อินชิงเสวียนโค้งคำนับอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ความจริงกระหม่อมอยากหาโอกาสถวายเมล็ดพันธุ์เหล่านี้แก่ฝ่าบาทมาโดยตลอด ดังนั้นจึงนำมามากมาย”

เย่จิ่งอวี้พูดเชิงสัพยอก “เราจำได้ว่าตอนแรกเจ้าคิดเพียงแต่ว่าจะหาเงินอย่างไร ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์เลย”

อินชิงเสวียนหน้าแดง ไอแห้งๆ และพูดว่า “กระหม่อมยอมเสี่ยงเพื่อท่านแม่และลูกๆ อีกอย่างกระหม่อมก็ไม่ทราบว่าท่านพี่ทหารคือฝ่าบาท”

เย่จิ่งอวี้แค่นเสียง “ไร้สาระ ช่างเถอะ เห็นแก่ที่เจ้าถวายเมล็ดพันธุ์ เราจะไม่ติดใจเอาความกับเรื่องที่ผ่านมาของเจ้า ถ้าเจ้ายังมีเมล็ดพันธุ์อยู่ ก็ลองปลูกดู หากประสบความสำเร็จ เราจะประทานของรางวัลแก่เจ้าเอง”

อินชิงเสวียนแสร้งทำเป็นขอบคุณทันที

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

เย่จิ่งอวี้วางถ้วยชาลง ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ตอนนี้ก็เรียบร้อยดีแล้ว เจ้าก็ไปหอฉงฮวากับเราหน่อย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์