เย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ “น้องกับพระชายาอ๋องก็ไม่ได้เจอกันมาหนึ่งปีแล้ว ถึงเวลากลับไปหากันแล้ว หากมีเวลาก็พาพระชายาอ๋องเข้ามาในวังมาเยี่ยมเสด็จแม่ได้”
เย่จิ่งเย่ายกมือขึ้นประกบคำนับแล้วพูดว่า น้องน้อมรับพระบัญชา ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กระหม่อมขอทูลลา”
เมื่อเห็นว่าการคืนตำแหน่งของลู่จิ้งเสียนนั้นเป็นไปได้ยากแล้ว ไทเฮาก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
ยิ้มอย่างใจดีและพูดว่า “ในเมื่อฝ่าบาทยุ่งอยู่กับราชกิจ เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนแล้ว เสียนเอ๋อร์ จำสิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสได้แล้วนะ ตราบใดที่เจ้าช่วยดูแลวังหลังอย่างดี ฮ่องเต้จะคืนตำแหน่งสนมขั้นเฟยให้เจ้าเอง”
ลู่จิ้งเสียนพูดด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ หม่อมฉันจะเชื่อฟังคำสอนของฝ่าบาทอย่างแน่นอน”
เย่จิ่งอวี้ส่งไทเฮาไปที่ประตูและโค้งคำนับเล็กน้อย “ลูกน้อมส่งไทเฮา”
“กลับไปเถอะ ราชกิจของเจ้าจะล่าช้าไม่ได้”
ไทเฮาคลี่ยิ้มพลางโบกมือ ทันทีที่ออกจากห้องหนังสือ ความมีเมตตบนใบหน้าก็หายไปทันที
“ฮ่องเต้ทำเพื่อขันทีน้อยถึงเพียงนี้ เขาเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ หรือว่าเขาคิดไม่ธรรมดากับขันทีน้อยผู้นั้นจริงๆ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลู่จิ้งเสียนก็รู้สึกเสียใจมากยิ่งขึ้น
“หม่อมฉันเทียบไม่ได้กับขันทีเล็กๆ หรือเพคะ ไม่ว่าหม่อมฉันจะทำอะไร ฝ่าบาทก็ไม่แยแส หรือว่าหม่อมฉันเป็นม่ายในวังหลังไปตลอดชีวิตจริงๆ”
ไทเฮาตำหนิว่า “อย่าพูดเหลวไหล”
ลู่จิ้งเสียนปิดปากทันที
เย่จิ่งเย่ายิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาจากหลี่เต๋อฝูว่า เมล็ดพันธุ์ที่ฝ่าบาทปลูกในสวนอวิ๋นเซียงนั้นได้รับมาจากพี่ชายของขันทีน้อยที่มาจากฮว๋าเซี่ย เป็นเรื่องปกติที่เขาจะได้รับความสำคัญ น้องเสียนไม่ควรไปพัวพันกับเรื่องนี้ ถ้าอยากให้เสด็จพี่พอใจเจ้า เจ้าต้องรุกให้มากกว่านี้ ไม่เคยได้ยินเรื่องที่สตรีไล่ตามบุรุษหรอกหรือ”
ลู่จิ้งเสียนเม้มปากกล่าวว่า “จะให้รุกอย่างไรอีก ทุกครั้งที่ข้าส่งของไป เขาไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ”
ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว คิดในใจว่า ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ หากฮ่องเต้โปรดปรานผู้อื่นก่อน ตำแหน่งของเสียนเอ๋อร์จะต้องตกอยู่ในอันตราย
นับตั้งแต่เย่จิ่งอวี้ขึ้นครองบัลลังก์ ลู่อานผู้เป็นราชเลขาธิการก็ถูกละเลย หากลู่จิ้งเสียนยังคงล้มเหลวต่อไป ตระกูลลู่ คงจะถึงวาระสุดท้ายแล้วจริงๆ
แม้ว่าเย่จิ่งเย่าจะเป็นโอรสสายตรงของฮ่องเต้ผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่จะทำเช่นไรได้เพราะต้องยึดตามหลักความอาวุโส บัลลังก์ก็ถูกเย่จิ่งอวี้ออกอุบายจนได้ครองบัลลังก์
แน่นอนว่าต้องมีคนตรงกลางคอยเติมเชื้อเพลิงให้เปลวไฟ!
เมื่อนึกถึงพายุนองเลือดเมื่อปีที่แล้ว นัยน์ตาของไทเฮาก็ฉายแววเย็นชาอย่างอดไม่ได้
ถ้าตาเฒ่าอินจ้งยอมช่วยเหลือเย่จิ่งเย่า เย่าเอ๋อร์ก็คงไม่ลงเอยด้วยการเฝ้าสุสานหลวง
บัดนี้พวกเขาถูกส่งไปยังชายแดน นับว่าโชคดีของพวกเขาแล้ว
โชคดีหญิงแซ่อินผู้นั้นตายไปแล้ว อย่าหวังว่าชาตินี้ตระกูลอินจะสามารถหวนคืนได้อีก
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ริมฝีปากของไทเฮาก็โค้งเป็นรอยยิ้มเยาะ
แต่กลับได้ยินเย่จิ่งเย่าพูดว่า “วันนี้อากาศร้อน เสด็จแม่กลับตำหนักเร็วๆ เถอะพ่ะย่ะค่ะ ลูกก็ควรกลับจวนอ๋องแล้ว เดี๋ยวลูกพักผ่อนอีกสักระยะ แล้วจะมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่ใหม่”
ไทเฮาจึงตื่นจากภวังค์ พูดด้วยสีหน้ารักใคร่ “ได้ เจ้าก็ควรอยู่กับซิ่วหนิงให้มากๆ ตระกูลเจียงยังคงมีประโยชน์”
“ลูกทราบแล้ว”
เย่จิ่งเย่าโค้งคำนับและออกจากวัง
หลังจากขึ้นเกี้ยวแล้ว รอยยิ้มก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
เดิมทีเขากำลังคิดว่าจะจัดการกับเย่จิ่งอวี้อย่างไร แต่ไม่คาดคิดว่าสวรรค์จะให้โอกาสอันยิ่งใหญ่แก่เขา
อินชิงเสวียนไม่กล้ายืนอยู่ภายใต้การจ้องมองของเขา ซึ่งพิสูจน์ว่านางยังคงมีความแสลงใจ
ถ้านางยังคงแสลงใจ ก็แสดงว่านางยังไม่ลืมความรัก
การจัดการกับผู้หญิงไร้สมองเช่นนี้ แค่หยอดคำหวานไม่กี่คำก็พอ
หากนางได้รับความไว้วางใจจากเย่จิ่งอวี้จริงๆ การวางยาพิษพี่ชายตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อคิดถึงการวางแผนมานานกว่าหนึ่งปี รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่จิ่งเย่าก็สดใสขึ้นเล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...