สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 48

“อืม”

อินชิงเสวียนตอบรับเบาๆ แต่ในใจนั้นตำหนิยกใหญ่

บางทีเขาอาจมีใจให้ซูฉ่ายเวยอยู่บ้างเล็กน้อย

เหอะๆ ชายหนอชาย ล้วนปากไม่ตรงกับใจ

ณ หอฉงฮวา

ด้านในกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย

ซูฉ่ายเวยเพิ่งได้ยินว่าลู่จิ้งเสียนถูกลดตำแหน่งเป็นเสียนผิน จากนั้นก็ได้ยินข่าวเรื่องตนได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นหลิงผิน

เนื่องด้วยตื่นเต้นมากเสียเกินไปจึงทำให้ซูฉ่ายเวยเป็นลม

จนกระทั่งหลี่เต๋อฝูประกาศพระราชโองการเสร็จสิ้นแล้ว นางจึงได้เอ่ยถามดั่งเพิ่งตื่นจากฝัน “หลี่กงกง นี่ นี่เป็นความจริงหรือ”

หลี่เต๋อฝูตอบด้วยรอยยิ้มว่า “จริงแท้แน่นอน หลิงผินควรรับพระราชโองการและขอบพระทัยในพระกรุณาได้แล้ว”

ซูฉ่ายเวยซาบซึ้งเสียจนร่างกายสั่นคลอน นางรีบเอื้อมมือไปรับพระราชโองการ จากนั้นสั่งให้เซียงหลานนำหยวนเป่าสองอันใหญ่ให้แก่หลี่เต๋อฝู

ขันทีน้อยทั้งหลายได้รับผ้าและเครื่องประดับพระราชทานมาแล้ว ต่างพากันยิ้มมิหุบปาก

เจ้านายแห่งหอฉงฮวาได้เชิดหน้าชูตาสักที

ระหว่างที่กำลังปลื้มปีติกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”

ซูฉ่ายเวยตื่นตระหนกทันใด ฮ่องเต้เสด็จมาเร็วถึงเพียงนี้?

นางรีบจัดแจงผมเผ้าเครื่องประดับแล้วรีบออกไปคุกเข่ารับเสด็จ

เย่จิ่งอวี้เดินเข้ามาจากด้านนอก ชุดสีเหลืองทองลายมังกรทำให้เขาดูสูงสง่าดุจดั่งหยก ใบหน้าอันหล่อเหลา แววตาที่กวาดมองไปยังลานแห่งนี้ดูหนักแน่นน่าเกรงขามดั่งขุนเขา

ซูฉ่ายเวยทั้งยินดีและหวาดกลัว หัวใจของนางเต้นโครมคราม คุกเข่าหมอบอยู่บนพื้นกล่าวว่า “หม่อมฉันซูฉ่ายเวย ถวายบังคมฮ่องเต้เพคะ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน”

เย่จิ่งอวี้กล่าวเบาๆ ว่า “ลุกขึ้นเถิด”

“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”

ซูฉ่ายเวยลุกขึ้นจากพื้น แล้วมองไปยังอินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่จิ่งอวี้

ได้ยินมาว่าการที่ฝ่าบาทลดตำแหน่งของลู่จิ้งเสียนเป็นเพราะขันทีคนหนึ่ง และเมื่อนึกถึงเมื่อวันนั้นที่ฮ่องเต้ตำหนิตนเพราะขันทีผู้นี้ นางจึงรู้ได้แก่ใจว่าคนผู้นี้เป็นที่โปรดปรานอย่างแน่นอน

หากสามารถตีสนิทกับเขาและให้เขาช่วยเอ่ยวาจาโน้มน้าวได้สำเร็จ คาดว่าวันที่ฮ่องเต้จะโปรดปรานนางคงอีกมิไกลแล้ว

เดิมทีนางตั้งใจจะดึงหลี่เต๋อฝูเข้าเป็นพวก แต่ตาเฒ่านี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ไม่ให้โอกาสนางเลย

เมื่อคิดได้ดังนี้นางจึงยิ้มไปทางอินชิงเสวียน

อินชิงเสวียนถูกยิ้มให้เช่นนั้นก็ขนลุกซู่ เขาหันไปมองด้านหลังพบว่าหาได้มีใคร นางยิ้มให้ตนเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร

คงมิได้จะหาเรื่องใช่หรือไม่

ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น เย่จิ่งอวี้ก็เดินเข้าไปด้านใน

หลี่เต๋อฝูรีบตามติด เมื่อถึงปากประตูก็หันมาขยิบตาให้อินชิงเสวียน เป็นความหมายให้ตามเข้าไป

อินชิงเสวียนกลอกตามองเพราะอยากแอบอู้อยู่ข้างนอก จะให้เข้าไปทำไมกัน เย่จิ่งอวี้หาใช่ว่าไม่มีมือ ต้องให้คนมากมายเช่นนั้นคอยดูแลหรือ

หลังจากบ่นพึมพำแล้วท้ายที่สุดก็ตามเข้าไป

เย่จิ่งอวี้เอ่ยถามเรื่องชีวิตทั่วไปของซูฉ่ายเวย จากนั้นก็สนทนาเรื่องไร้สาระต่างๆ นานา ทำเอาอินชิงเสวียนง่วงหาว ช่างทรมานทั้งกายใจ

แต่ทางด้านของซูฉ่ายเวยกลับตื่นเต้นยิ่งนัก นางยืนพัดวีให้แก่ฮ่องเต้อยู่ด้านข้าง

บัดนี้นางอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของบรรดาสตรีชั้นสูง อีกทั้งยังมีตำแหน่งเทียบเท่าลู่จิ้งเสียน ฮ่องเต้ทรงเดินทางมาหานางด้วยพระองค์เองเช่นนี้ คาดว่ามินานนางอาจได้ย้ายออกไปจากหอฉงฮวา

เมื่อจินตนาการถึงชีวิตผาสุข ได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนมากมาย ซูฉ่ายเวยก็อดมิได้ที่จะยิ้มออกมา

“ฝ่าบาทเพคะ จะอยู่เสวยพระกระยาหารค่ำที่นี่หรือไม่”

ซูฉ่ายเวยออกแรงพัดพลางใช้สายตาหวานชื่นมองไปทางเย่จิ่งอวี้

คาดว่าทั่วแคว้นต้าโจวนี้คงมิมีผู้ใดรูปงามไปกว่าฮ่องเต้ได้แล้ว เมื่อจินตนาการว่าจะได้ทำเรื่องนั่นนี่กับเขา ใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าว

“มิต้องหรอก ข้ายังมีงานต้องตรวจ ข้าเพียงเดินทางมาเยี่ยมเจ้า ประเดี๋ยวก็กลับแล้ว”

เย่จิ่งอวี้จัดแจงชุดแล้วลุกขึ้นยืน

เขาและซูฉ่ายเวยหาได้มีเรื่องใดต้องสนทนาร่วมกัน เพียงเดินทางมาเป็นพิธีเท่านั้น

ซูฉ่ายเวยอยากจะตบปากตัวเองเสียจริง หากมิเอ่ยถามเช่นนั้น บางทีฮ่องเต้อาจนั่งต่ออีกสักพัก

“ฝ่าบาทจะเสด็จกลับแล้วหรือเพคะ”

“อืม ไว้วันใดข้าว่างแล้วจะแวะมาเยี่ยมเยียนเจ้าใหม่”

เย่จิ่งอวี้กล่าวเบาๆ จากนั้นเดินออกไป

ซูฉ่ายเวยตื่นเต้นขึ้นอีกครั้ง

“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันจะตั้งตารอเสด็จ”

เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้และหลี่เต๋อฝูมิได้มองมา นางจึงรีบเปิดกล่องเล็กๆ ออก หยิบเม็ดทองออกมาแอบใส่มืออินชิงเสวียน

อินชิงเสวียนงุนงงยิ่งนัก

นี่มันกระไรกันหนอ เมื่อสองวันก่อนมิได้อยากจะหาเรื่องทำร้ายกันหรอกหรือ

แต่เมื่อหันกลับมามองก็พบว่าซูฉ่ายเวยขยิบตาให้ อินชิงเสวียนยิ่งสับสนกว่าเดิม นางเส้นยึดหรืออย่างไร

เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้เดินขึ้นเกี้ยวแล้ว อินชิงเสวียนจึงไม่มีเวลาคิด ได้แต่รีบวิ่งตามไป

หลังจากทุกคนกลับมายังห้องทรงพระอักษรแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็จิบน้ำชาเข้าไปอึกหนึ่งจากนั้นหยิบพู่กันออกมาทรงงาน

อินชิงเสวียนทนไม่ได้อีกต่อไป ให้นางนั่งเฝ้าเย่จิ่งอวี้ทุกวันเช่นนี้สักวันคงเป็นบ้าตาย

เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้วางหนังสือลง จึงรีบเอ่ยทูลว่า “ฝ่าบาท บัดนี้ด้านนอกแสงอาทิตย์มิได้ร้อนแผดเผาเท่าไรแล้ว หม่อมฉันอยากออกไปปลูกต้นไม้ที่สวนอวิ๋นเซียง”

เย่จิ่งอวี้หยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมา ใช้พู่กันจุ่มน้ำหมึกแล้วกล่าวว่า “ไปเถิด ให้เสี่ยวอานจื่อไปกับเจ้า”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

เมื่อเดินออกจากประตู อินชิงเสวียนก็ราวกับได้เกิดใหม่

แม้ด้านนอกจะร้อนระอุ แต่ก็ดีกว่าต้องอยู่ข้างกายเย่จิ่งอวี้มากนัก

เสี่ยวอานจื่อยืนพิงอยู่ที่ปากประตูวัง เมื่อเห็นอินชิงเสวียนเดินออกมาจึงรีบยืดตัวตรง

“ฝ่าบาทมีรับสั่งใดหรือไม่”

อินชิงเสวียนยิ้มแล้วกล่าวว่า “มี ให้เจ้าติดตามข้าไปยังสวนอวิ๋นเซียง”

เสี่ยวอานจื่อได้ยินดังนั้นก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นทันใด

เพราะหากอยู่ที่นี่ต่อ เขาคงต้องหลับแน่

ทั้งสองเดินทางมาถึงสวนอวิ๋นเซียง ด้านข้างต้นไม้มีขันทีน้อยมากมายกำลังมองดูต้นไม้ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนเดินทางมา ต่างรีบลุกขึ้นยืน

“คารวะเสี่ยวเสวียนจือกงกง คารวะเสี่ยวอานจื่อกงกง”

เสี่ยวอานจื่อทำท่าทางภูมิใจแล้วกล่าวว่า

“อย่าได้มากพิธีไป”

พวกเขาจึงรีบลุกขึ้นยืนด้วยความยินดี

เสี่ยวอานจื่อตบบ่าของอินชิงเสวียนเบาๆ ใช้น้ำเสียงแหลมกล่าวว่า “เจ้าต้องการขุดหลุมใหญ่ขนาดไหน บอกแก่พวกเขาเป็นพอ”

นับแต่วันที่อินชิงเสวียนได้ช่วยเขา เขาก็เห็นอินชิงเสวียนเป็นเช่นคนกันเอง

“หลุมขนาดฝ่ามือสักไม่กี่หลุมก็พอ ข้าจะลองปลูกดูก่อน มิรู้ว่าจะได้ผลหรือไม่”

แตงโมในภาคเหนือเหมือนจะปลูกเดือนสี่ ตอนนี้ปาเข้าไปเดือนหกแล้ว จะปลูกขึ้นหรือไม่อินชิงเสวียนก็ไม่อาจรู้

นางสั่งให้ขันทีน้อยเหล่านั้นขุดร่องน้ำสองสาย ไม่ได้ปลูกเพียงแตงโมเท่านั้น แต่ยังปลูกมะเขือเทศกับพริกด้วย เสร็จงานก็ปาไปตะวันตกดินแล้ว

อินชิงเสวียนยุ่งอยู่อีกสักพักจนกระทั่งฟ้ามืดลง จึงได้เดินทางกลับตำหนักเฉิงเทียน

เย่จิ่งอวี้เปลี่ยนเป็นชุดเตรียมเข้าบรรทมแล้ว เป็นชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อน ทำให้เขาดูหล่อเหลาขาวผ่องกว่าเดิม

มือข้างหนึ่งถือม้วนหนังสือไว้ นั่งอยู่ข้างตะเกียง ใบหน้ามองจากด้านข้างเกิดเป็นเงาช่างได้รูป สง่าเหลือเกิน

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น เย่จิ่งอวี้จึงหันไปมองพบว่าเป็นอินชิงเสวียน จึงโบกมือให้หลี่เต๋อฝูที่กำลังนั่งหลับอยู่ด้านหลัง

“เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด วันนี้ให้เสี่ยวเสวียนจือรับใช้”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

หลี่เต๋อฝูเบ้ปากเล็กน้อยแล้วโค้งกายเดินออกไป

ตนมิเป็นที่โปรดปรานแล้วหรือนี่

อินชิงเสวียนเห็นเข้าพอดี ในใจก็นึกว่าตาเฒ่านี่ชอบรับใช้คนอื่นมากหรือไร

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหลี่เต๋อฝูดังขึ้นจากนอกประตูว่า “เสนาบดีกรมพระคลัง หานสือ ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์