“อืม”
อินชิงเสวียนตอบรับเบาๆ แต่ในใจนั้นตำหนิยกใหญ่
บางทีเขาอาจมีใจให้ซูฉ่ายเวยอยู่บ้างเล็กน้อย
เหอะๆ ชายหนอชาย ล้วนปากไม่ตรงกับใจ
ณ หอฉงฮวา
ด้านในกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย
ซูฉ่ายเวยเพิ่งได้ยินว่าลู่จิ้งเสียนถูกลดตำแหน่งเป็นเสียนผิน จากนั้นก็ได้ยินข่าวเรื่องตนได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นหลิงผิน
เนื่องด้วยตื่นเต้นมากเสียเกินไปจึงทำให้ซูฉ่ายเวยเป็นลม
จนกระทั่งหลี่เต๋อฝูประกาศพระราชโองการเสร็จสิ้นแล้ว นางจึงได้เอ่ยถามดั่งเพิ่งตื่นจากฝัน “หลี่กงกง นี่ นี่เป็นความจริงหรือ”
หลี่เต๋อฝูตอบด้วยรอยยิ้มว่า “จริงแท้แน่นอน หลิงผินควรรับพระราชโองการและขอบพระทัยในพระกรุณาได้แล้ว”
ซูฉ่ายเวยซาบซึ้งเสียจนร่างกายสั่นคลอน นางรีบเอื้อมมือไปรับพระราชโองการ จากนั้นสั่งให้เซียงหลานนำหยวนเป่าสองอันใหญ่ให้แก่หลี่เต๋อฝู
ขันทีน้อยทั้งหลายได้รับผ้าและเครื่องประดับพระราชทานมาแล้ว ต่างพากันยิ้มมิหุบปาก
เจ้านายแห่งหอฉงฮวาได้เชิดหน้าชูตาสักที
ระหว่างที่กำลังปลื้มปีติกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”
ซูฉ่ายเวยตื่นตระหนกทันใด ฮ่องเต้เสด็จมาเร็วถึงเพียงนี้?
นางรีบจัดแจงผมเผ้าเครื่องประดับแล้วรีบออกไปคุกเข่ารับเสด็จ
เย่จิ่งอวี้เดินเข้ามาจากด้านนอก ชุดสีเหลืองทองลายมังกรทำให้เขาดูสูงสง่าดุจดั่งหยก ใบหน้าอันหล่อเหลา แววตาที่กวาดมองไปยังลานแห่งนี้ดูหนักแน่นน่าเกรงขามดั่งขุนเขา
ซูฉ่ายเวยทั้งยินดีและหวาดกลัว หัวใจของนางเต้นโครมคราม คุกเข่าหมอบอยู่บนพื้นกล่าวว่า “หม่อมฉันซูฉ่ายเวย ถวายบังคมฮ่องเต้เพคะ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน”
เย่จิ่งอวี้กล่าวเบาๆ ว่า “ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”
ซูฉ่ายเวยลุกขึ้นจากพื้น แล้วมองไปยังอินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่จิ่งอวี้
ได้ยินมาว่าการที่ฝ่าบาทลดตำแหน่งของลู่จิ้งเสียนเป็นเพราะขันทีคนหนึ่ง และเมื่อนึกถึงเมื่อวันนั้นที่ฮ่องเต้ตำหนิตนเพราะขันทีผู้นี้ นางจึงรู้ได้แก่ใจว่าคนผู้นี้เป็นที่โปรดปรานอย่างแน่นอน
หากสามารถตีสนิทกับเขาและให้เขาช่วยเอ่ยวาจาโน้มน้าวได้สำเร็จ คาดว่าวันที่ฮ่องเต้จะโปรดปรานนางคงอีกมิไกลแล้ว
เดิมทีนางตั้งใจจะดึงหลี่เต๋อฝูเข้าเป็นพวก แต่ตาเฒ่านี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ไม่ให้โอกาสนางเลย
เมื่อคิดได้ดังนี้นางจึงยิ้มไปทางอินชิงเสวียน
อินชิงเสวียนถูกยิ้มให้เช่นนั้นก็ขนลุกซู่ เขาหันไปมองด้านหลังพบว่าหาได้มีใคร นางยิ้มให้ตนเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
คงมิได้จะหาเรื่องใช่หรือไม่
ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น เย่จิ่งอวี้ก็เดินเข้าไปด้านใน
หลี่เต๋อฝูรีบตามติด เมื่อถึงปากประตูก็หันมาขยิบตาให้อินชิงเสวียน เป็นความหมายให้ตามเข้าไป
อินชิงเสวียนกลอกตามองเพราะอยากแอบอู้อยู่ข้างนอก จะให้เข้าไปทำไมกัน เย่จิ่งอวี้หาใช่ว่าไม่มีมือ ต้องให้คนมากมายเช่นนั้นคอยดูแลหรือ
หลังจากบ่นพึมพำแล้วท้ายที่สุดก็ตามเข้าไป
เย่จิ่งอวี้เอ่ยถามเรื่องชีวิตทั่วไปของซูฉ่ายเวย จากนั้นก็สนทนาเรื่องไร้สาระต่างๆ นานา ทำเอาอินชิงเสวียนง่วงหาว ช่างทรมานทั้งกายใจ
แต่ทางด้านของซูฉ่ายเวยกลับตื่นเต้นยิ่งนัก นางยืนพัดวีให้แก่ฮ่องเต้อยู่ด้านข้าง
บัดนี้นางอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของบรรดาสตรีชั้นสูง อีกทั้งยังมีตำแหน่งเทียบเท่าลู่จิ้งเสียน ฮ่องเต้ทรงเดินทางมาหานางด้วยพระองค์เองเช่นนี้ คาดว่ามินานนางอาจได้ย้ายออกไปจากหอฉงฮวา
เมื่อจินตนาการถึงชีวิตผาสุข ได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนมากมาย ซูฉ่ายเวยก็อดมิได้ที่จะยิ้มออกมา
“ฝ่าบาทเพคะ จะอยู่เสวยพระกระยาหารค่ำที่นี่หรือไม่”
ซูฉ่ายเวยออกแรงพัดพลางใช้สายตาหวานชื่นมองไปทางเย่จิ่งอวี้
คาดว่าทั่วแคว้นต้าโจวนี้คงมิมีผู้ใดรูปงามไปกว่าฮ่องเต้ได้แล้ว เมื่อจินตนาการว่าจะได้ทำเรื่องนั่นนี่กับเขา ใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าว
“มิต้องหรอก ข้ายังมีงานต้องตรวจ ข้าเพียงเดินทางมาเยี่ยมเจ้า ประเดี๋ยวก็กลับแล้ว”
เย่จิ่งอวี้จัดแจงชุดแล้วลุกขึ้นยืน
เขาและซูฉ่ายเวยหาได้มีเรื่องใดต้องสนทนาร่วมกัน เพียงเดินทางมาเป็นพิธีเท่านั้น
ซูฉ่ายเวยอยากจะตบปากตัวเองเสียจริง หากมิเอ่ยถามเช่นนั้น บางทีฮ่องเต้อาจนั่งต่ออีกสักพัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...