สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 49

เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเข้าหากันแล้ววางม้วนหนังสือในมือลง

"เข้ามาได้"

ครู่เดียว หานสือซึ่งสวมชุดธรรมดาเดินตรงเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเขาเข้ามาถึงก็คุกเข่าลงด้วยความรีบร้อนใจ

"เมื่อครู่กระหม่อมเพิ่งได้รับข่าว วิธีการที่ฝ่าบาทให้มานั้นได้ผลแล้ว ขุนนางได้ทำตามที่ฝ่าบาทรับสั่ง กักตัวผู้ที่มิได้ติดเชื้อออกไป สำหรับผู้ที่มิอาจช่วยไว้ได้ ให้นำเอาไปเผา บัดนี้สถานการณ์โรคระบาดถูกควบคุมเอาไว้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ"

คิ้วของเย่จิ่งอวี้ที่ขมวดเข้าหากันอยู่จึงคลายออกเล็กน้อย

"ดียิ่งนัก จงไปกำชับให้ปรุงยามากขึ้น พยายามช่วยให้ได้ทุกคน อย่าให้พลาดแม้แต่คนเดียว”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ หานสือก็คุกเข่าลงทั้งสองข้างพร้อมกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจว่า "ฝ่าบาททรงมีพระกรุณาธิคุณเช่นนี้ ช่างเป็นบุญของไพร่ฟ้าประชาชนเหลือเกิน"

จากนั้นเขาก็ถอนหายใจกล่าวว่า "แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสวรรค์จึงได้ลงโทษแล้วซ้ำเล่า ทรมานประชาชนในแคว้นต้าโจวเพียงนี้"

เย่จิ่งอวี้หรี่ตาเล็กน้อย "เจ้าหมายถึงการระบาดของตั๊กแตน?"

หานสือตอบรับว่า "พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท แม้การที่ตั๊กแตนระบาดจะมิใช่เรื่องแปลก แต่ก็มิใช่ว่าเกิดขึ้นทุกปี บัดนี้ทั้งภัยแล้ง โรคระบาดและพิบัติจากตั๊กแตนเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน หากไม่รีบจัดการเข้าควบคุมและก็ ประชาชนคงจะได้กล่าวขาน”

เย่จิ่งอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า "พวกเขาจะกล่าวว่าสิ่งใดหรือ กล่าวว่าข้าเข้ารับตำแหน่งโดยไร้คุณธรรม? กล่าวว่าข้ามิใช่ทายาทสายตรงของไทเฮา? หรือกล่าวว่าใต้หล้านี้มิควรเป็นของข้า"

หานสือตกใจจนรีบคุกเข่าลงพื้น

“กระหม่อมมิทราบพ่ะย่ะค่ะ!"

เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า "เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ในวันนี้ก่อนการประชุมราชวงศ์เช้า พวกเจ้าสนทนากันสนุกปากมิใช่หรือ"

เหงื่อบนหน้าผากของหานสือผุดออกมาเม็ดโต เขายังคงคุกเข่ากล่าวว่า "กระหม่อมไม่เคยกล่าวถึงฝ่าบาทในแง่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ!"

เย่จิ่งอวี้โน้มกายลงมาเล็กน้อย แววตามองไปด้วยความบีบบังคับ

"เจ้าไม่เคยกล่าว แต่นั่นหมายความว่าเจ้าไม่เคยคิดด้วยหรือ"

หานสือไม่รู้จะทำเช่นไร เขาตกใจจนรีบหมอบลงพื้น "แม้ฝ่าบาทจะมิใช่ทายาทสายตรงของฮองเฮา แต่ก็เป็นโอรสองค์โตของ ฮ่องเต้พระองค์ก่อน แต่ไหนแต่ไรมา คนโบราณให้ความสำคัญเรื่องลำดับทายาทในตระกูล มิเว้นแม้แต่ราชวงศ์”

สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย

"ลุกขึ้นเถิด จะมานั่งเถียงกันด้วยเรื่องราวเหล่านี้ สู้เอาเวลาไปคิดไม่ดีกว่าหรือว่าจะจัดการกับตั๊กแตนเช่นไร”

หานสือรีบตอบว่า "เป็นจริงเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ส่งคนไปยังหว่านซีเพื่อจับตั๊กแตนแล้ว คาดว่ามิเกินวันนี้คงได้รับข่าวดีกลับมา"

อินชิงเสวียนทนไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อมีตั๊กแตนมาลงนามันก็จะขยายพื้นที่ไปทั่วอย่างรวดเร็ว กระหม่อมรับใช้จับให้ตายทั้งชีวิตก็จับไม่หมด อีกอย่างเจ้าแมลงนั้นก็มีปีก จะให้คนบินตามมันไปหรืออย่างไร

นางก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าลงแล้วกล่าวว่า "กระหม่อมมีความคิดเห็นหนึ่ง บางทีอาจจัดการเหล่าตั๊กแตนได้"

หานสือหรี่ตามองดูอินชิงเสวียนแล้วคิดอยู่ในใจว่า เจ้าคนบ้านนอกคอกนานี่มาจากไหน เนิ่นนานนับพันปีภัยพิบัติเรื่องตั๊กแตนก็มิอาจจัดการได้ ขันทีธรรมดาๆ คนหนึ่งจะมีความคิดเห็นใด

เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "เจ้าลองว่ามา"

อินชิงเสวียนกระแอมเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า "แผนการของกระหม่อมนั้นง่ายดายยิ่งนัก เพียงแค่นำเป็ดไก่ 2-3000 ตัวไปปล่อยที่นั่น เป็ดไก่เป็นศัตรูกับตั๊กแตนมาโดยกำเนิด รับรองว่าจะสามารถกำจัดแมลงได้จนหมด"

ดวงตาอันเหี่ยวย่นของหานสือเกิดเป็นประกายขึ้นทันใด

สัตว์เหล่านี้ล้วนกินตั๊กแตนเป็นอาหาร อีกอย่างพวกมันก็บินได้ หากได้ผลจริงคงจะจับตั๊กแตนได้มากกว่ามนุษย์

เย่จิ่งอวี้ก็ชะงักลงเล็กน้อยเช่นกัน วิธีนี้เขายังไม่เคยได้ยินมาก่อน

เมื่อครุ่นคิดดูอีกหนก็พบว่าสมเหตุสมผลยิ่งนัก ข้อเสนอแนะนี้ถือว่าแปลกดี

เขาเผยอมุมปากขึ้นเล็กน้อย มือตบลงบนโต๊ะเบาๆ "จงไปประกาศให้รวบรวมเป็ดไก่มาเยอะที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วส่งไปยังหว่านซีเพื่อทำลายตั๊กแตน”

"พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการบัดเดี๋ยวนี้"

หานสือคุกเข่าลงคารวะแล้วจากไปด้วยความยินดี

"เจ้าเองก็ลุกขึ้นเถิด"

เย่จิ่งอวี้เดินวนในห้องโถง เมื่อหันกลับมาจึงพบว่าอินชิงเสวียนยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น

"ขอบพระทัยฝ่าบาท"

อินชิงเสวียนใช้มือพยุงเข่าข้างหนึ่งขึ้นมา ต้องคอยคุกเข่าเป็นประจำแบบนี้น่าลำบากเหลือเกิน ดูเหมือนคุกเข่าสองข้างจะสบายกว่านี้

เย่จิ่งอวี้เหลือบตามองและหยุดลงตรงนิ้วมือเรียวยาวของนางที่กำลังลูบคลำหัวเข่า

จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามือนี้ช่างเหมือนมือสตรี

แต่เมื่อนึกถึงว่าบรรดาเหล่าขันทีเมื่อถูกตัดตอนแล้วนิ้วมือล้วนยาวและเรียว เขาจึงได้เข้าใจ

"เจ้ารู้เรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร"

เย่จิ่งอวี้เอามือไขว้หลังก้มหน้าลงมองอินชิงเสวียน แววตามองเข้าไปด้านในอย่างลึกล้ำราวกับกำลังหาคำตอบ

อินชิงเสวียนลุกขึ้นยืนกล่าวว่า "กระหม่อมได้ยินท่านย่ากล่าวให้ฟัง ก่อนหน้านี้บ้านของนางอยู่ในชนบทและเคยประสบกับปัญหาตั๊กแตนมาก่อน นางใช้วิธีจัดการเช่นนี้และได้ผล"

เย่จิ่งอวี้ยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ย่าของเจ้าช่างเป็นผู้เฉลียวฉลาดยิ่งนัก หากเรื่องนี้ได้ผลจริงละก็ เจ้าจะเป็นผู้ที่มีผลงานโดดเด่นที่สุด"

เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้อารมณ์ดีไม่น้อย อินชิงเสวียนจึงรีบเอ่ยถาม "มิทราบว่าฝ่าบาทจะตกรางวัลใดให้แก่กระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้คุ้นชินกับอินชิงเสวียนที่เป็นคนชื่นชอบเม็ดเงิน เขาจึงยิ้มแล้วถามว่า "เจ้าอยากได้สิ่งใด เงินทองหรือผ้า"

อินชิงเสวียนรีบตอบว่า "กระหม่อมอยากได้ตำแหน่งขุนนาง"

มุมปากของเย่จิ่งอวี้เผยอขึ้นเล็กน้อย

"ด้วยความสามารถของเจ้า ข้าควรที่จะมอบตำแหน่งขุนนางให้สักที น่าเสียดายที่เจ้าเป็นขันที ขันทีไม่อาจเข้าร่วมราชสำนักได้"

อินชิงเสวียนอดมิได้ที่จะแอบด่าในใจว่าขันทีบ้านเจ้าสิ!

แต่ปากของนางกลับเอ่ยออกมาอีกอย่างว่า "ความสามารถของกระหม่อมมีขีดจำกัด ดังนั้นกระหม่อมจึงมิได้คิดอยากจะเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก กระหม่อมได้เข้าเป็นขุนนางรับใช้ในวังหลังก็เพียงพอแล้ว”

ตอนแรกนางอยากจะพูดเสริมขึ้นว่าเป็นตำแหน่งใดก็แล้วแต่ แค่ไม่ต้องคอยรับใช้เย่จิ่งอวี้เป็นพอ

เย่จิ่งอวี้มองไปยังใบหน้าอันงดงามหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาดั่งเด็กน้อยแล้วหัวเราะขึ้นว่า "ตกลง ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นตำแหน่งจิ้นซิ่งฝ่ายใน และหลินหว่านเจียน”

อินชิงเสวียนงุนงงแล้วยิ้มแห้งๆ นางเอ่ยถามว่า "กระหม่อมเพิ่งเข้ามาในพระราชวังได้มินาน ไม่แน่ใจนักว่าสองตำแหน่งนี้คือสิ่งใด"

เย่จิ่งอวี้อธิบายด้วยความยินดีว่า "จิ้นซิ่งฝ่ายใจคือผู้รับใช้ข้างกายข้า ส่วนหวินหว่านเจียนเป็นผู้ดูแลดอกไม้ใบหญ้า สวน สระน้ำ ผัก ผลไม้ต่างๆ พอดีกับที่เจ้าคิดอยากจะดูแลสวนอวิ๋นเซียง ตำแหน่งนี้จึงเหมาะกับเจ้ายิ่งนัก"

แววตาของอินชิงเสวียนดูห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย

เดิมทีคิดว่าเป็นตำแหน่งใหญ่โตอะไร ที่แท้ก็เป็นได้แค่คนคอยรับใช้เย่จิ่งอวี้อีกอยู่ดี และหัวหน้าคนสวนก็ว่าได้

เย่จิ่งอวี้เดินไปที่ข้างเตียงตั่ง ถามกึ่งรอยยิ้มว่า "ทำไมหรือ เจ้าไม่พอใจ?"

ต่อให้ไม่พอใจก็ไม่กล้ากล่าวออกมาหรอก ใครจะรู้เล่าว่าเย่จิ่งอวี้จะเกิดอาการกำเริบขึ้นมาแล้วลงโทษนางหรือไม่

นางจึงยิ้มตอบว่า "พอใจพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอบพระคุณในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก"

เย่จิ่งอวี้ตอบรับเบาๆ แล้วกวักมือเรียก

"มาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า"

อินชิงเสวียนพูดไม่ออกจริงๆ ก็มีมือมีเท้าเหมือนกันแท้ๆ ทำไมชอบให้คนอื่นถอดเสื้อผ้าให้ หรือฮ่องเต้ในอดีตเป็นง่อยกัน

ในใจแอบด่าทอ แต่ร่างกายนั้นก็เดินเข้าไปด้วยความจริงใจ

นางก้มหน้าลงปลดเข็มขัดที่เอวของเย่จิ่งอวี้ จากนั้นถอดเสื้อคลุมด้านนอกออกพาดไว้ที่แขน

เมื่อเสื้อผ้าชั้นกลางสีขาวผ่องของเย่จิ่งอวี้ถูกถอดออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่หน้าท้องเป็นปึกแผ่น ไหนจะร่อง 11 อีก อินชิงเสวียนใบหน้าแดงเรื่อ นางถือเสื้อคลุมไว้ตั้งใจจะหนี

เย่จิ่งอวี้เผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อย บ่าวคนนี้ก็เคยมีลูกมาแล้ว แต่ยังอายอะไรกัน

ช่างเถิด เห็นแก่ที่เขาคิดแผนการดีๆ ออกมาได้หลายครั้งหลายครา จึงไม่อยากจะทำให้ลำบากใจไปมากกว่านี้

"ไปรอที่ด้านนอกเถอะ"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์