อินชิงเสวียนราวกับได้หลุดพ้น เมื่อเดินออกมาถึงนอกตำหนักก็พบเข้ากับหลี่เต๋อฝู
“จะวิ่งไปไหน อย่าได้เสียมารยาทต่อหน้าพระตำหนัก”
หลี่เต๋อฝูหรี่เสียงตวาดออกมาตำหนิ
อินชิงเสวียนกล่าวว่า “ฝ่าบาทให้ข้าออกมารอด้านนอก”
หลี่เต๋อฝูชี้นิ้วไปที่เตียงตั่งเล็กๆ ด้านนอก
“เช่นนั้นจงไปรอที่นั่น คืนนี้เจ้านอนที่นี่ กระตือรือร้นเข้าล่ะ ยามวิกาลหากฝ่าบาทลุกขึ้นมา จงถือโถมังกรให้ฝ่าบาทด้วย”
อินชิงเสวียนงุนงง “โถมังกรคือสิ่งใด”
หลี่เต๋อฝูกล่าวเสียงเบาว่า “โถปัสสาวะ”
“หา!”
ใบหน้าของอินชิงเสวียนร้อนผ่าวจนแทบไหม้
จริงหรือ ต้องช่วยเย่จิ่งอวี้ทำไอ้นั่น
ถึงร่างของนางตอนนี้จะเคยมีลูกมาแล้ว แต่ตัวจริงๆ ของนางยังเป็นสาวแรกรุ่น ไม่เคยจับมือผู้ชายด้วยซ้ำ จะให้ไปจับไอ้นั่นเนี่ยนะ...
วินาทีนี้อินชิงเสวียนอยากจะเอาหัวชนกำแพงเหลือเกิน
หลี่เต๋อฝูกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “อะไรกัน มีผู้คนมากมายอยากได้รับเกียรตินี้รู้หรือไม่”
อินชิงเสวียนพึมพำว่า “งั้นเก็บเกียรตินี้ไว้ให้หลี่กงกงเถอะ”
“นี่คือรางวัลที่ฝ่าบาทประทานให้ คิดจะให้ใครก็ได้หรือ”
หลี่เต๋อฝูตำหนิออกมาแล้วหันหลังจากไป
อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเข้าหากัน นางแอบด่าในใจว่า “เย่จิ่งอวี้ คืนนี้หากเจ้ากล้าถ่ายเบา ข้าจะเอาเจ้าตายแน่”
หลังจากด่าทอเย่จิ่งอวี้ออกมาอย่างพอใจแล้ว อินชิงเสวียนจึงหายอัดอั้นใจ นางถอดรองเท้าขึ้นไปนอนบนเตียงตั่งตัวเล็กๆ
ยืนมาทั้งวันแล้ว บัดนี้ช่างเมื่อยเหลือเกิน นางอดมิได้ที่จะนึกถึงชีวิตในวังเย็น
หากรู้ว่าชีวิตด้านนอกลำบากเพียงนี้ สู้อยู่ในวังเย็นมิออกมาจะดีกว่า
คิดถึงยายหลี่ยิ่งนัก คิดถึงอวิ๋นฉ่ายด้วย และยังมีเจ้าหมาน้อย ตอนนี้คงเรียกแม่ได้แล้วกระมัง
อินชิงเสวียนคิดไปเรื่อยเปื่อยจากนั้นงีบหลับไป
ค่ำคืนผ่านพ้นไปด้วยดี เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตะวันขึ้นแล้ว
อินชิงเสวียนนึกได้ว่าตนอยู่ด้านนอกตำหนักเฉิงเทียน จึงรีบกระโดดลุกขึ้น
เมื่อเข้ามาด้านในก็พบว่าไม่มีใครสักคน นางตกใจสะดุ้งโหยง
“ฝ่าบาทเล่า”
อินชิงเสวียนวิ่งมาด้านนอกประตู
เสี่ยวอานจื่อหัวเราะออกมาอย่างขำขันแล้วใช้นิ้วมืออันแข็งแกร่งชี้ไปที่อินชิงเสวียน “ฝ่าบาทเสด็จไปประชุมราชวงศ์เช้าตั้งแต่ฟ้ายังมิสาง เจ้าน่ะหรือกลับหลับเป็นตาย โชคดีเหลือเกินที่ฝ่าบาทมิได้ลงโทษเจ้า มิเช่นนั้นเจ้าตายแน่”
อินชิงเสวียนเงยหน้ามองดูพระอาทิตย์ บัดนี้น่าจะปาเข้าไปแปดโมงแล้ว
ในฐานะขันที นางกลับตื่นทีหลังฮ่องเต้ ช่างสมควรตายยิ่งนัก
เสี่ยวอานจื่อกล่าวด้วยสีหน้าแววตาอิจฉาว่า “แต่เจ้าก็มิต้องกังวลใจไป ก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จ ได้กำชับพวกเราไว้ว่าอย่าได้รบกวนเจ้า ฝ่าบาททรงดีต่อเจ้ายิ่งนัก”
อินชิงเสวียนเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“เช่นนั้นข้าต้องขอบพระทัยในพระกรุณาเป็นอย่างยิ่ง ข้าขอตัวไปดูเมล็ดพันธุ์ที่สวนอวิ๋นเซียงสักหน่อย”
เสี่ยวอานจื่อรีบกล่าวว่า “อย่างไรเสียข้าก็มิมีสิ่งใดทำ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
อินชิงเสวียนเองก็เกรงว่าตนจะหลงทาง หรืออาจถูกลู่จิ้งเสียนมาหาเรื่องเอาอีก หากมีเสี่ยวอานจื่ออยู่ด้วยน่าจะรับมือได้ดีกว่า
เหล่าขันทีในสวนอวิ๋นเซียงที่รู้ข่าวเรื่องอินชิงเสวียน เมื่อเจอหน้านางต่างพากันโค้งกายคารวะ “คารวะท่านหลินเจียน”
ตามปกติแล้วอินชิงเสวียนมักต้องคอยเอ่ยคารวะคนอื่นๆ บัดนี้เมื่อมีคนมาคารวะนางจึงรู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก นางเอามือล้วงกระเป๋าที่เอวแล้วกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด เมล็ดพันธุ์ในสวนเป็นอย่างไรบ้าง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...