ซูฉ่ายเวยกล่าวด้วยใบหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย "ต้องการสิ่งใด เสี่ยวกงกงกล่าวมาเถิด มิต้องเกรงใจ เพียงแค่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ต้องจ่ายเท่าไหร่ข้าก็ยอม”
ในวังหลังนี้มิมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อีกแล้ว
เมื่อวานนี้นางเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นผิน กรมวังได้นำผ้ามากมายมาให้นาง ไหนจะเครื่องประดับและไข่มุกอีก 3 กล่องใหญ่ ก่อนหน้านี้นางมิกล้าแม้แต่จะจินตนาการ
อินชิงเสวียนหยิบน้ำหอมออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอกสาว
"ฝ่าบาทชื่นชอบน้ำหอมกลิ่นนี้ยิ่งนัก หากเหนียงเหนียงใช้มันละก็คงจะสำเร็จไปกว่าครึ่ง และยังมีสีผึ้งทาปากที่ส่งมาจากแดนไกลล้วนเป็นของหายาก สีสันงดงามมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของสำคัญที่จะทำให้เหนียงเหนียงได้รับความรักความโปรดปราน"
ซูฉ่ายเวยมองไปยังขวดใสที่ดูแพรวพราว อีกทั้งสีผึ้งทาปากที่สามารถยืดหดเองได้ แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
นางก็นับว่าเกิดมาจากตระกูลชั้นสูง แต่สิ่งของน่าอัศจรรย์ใจประณีตงดงามเหล่านี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน
อินชิงเสวียนเปิดขวดน้ำหอมลูกกลิ้งออกมาแล้วทาลงไปที่หลังมือของนาง
"เจ้าสิ่งนี้หอมกว่าตลับน้ำหอมเสียอีก กลิ่นหอมอยู่ติดได้ทนนานกว่า เหนียงเหนียงลองดมดูว่าเป็นเช่นไร"
ซูฉ่ายเวยยกมือขึ้นไปตรงจมูกแล้วอดมิได้ที่จะรู้สึกชื่นชม
มันหอมมากจริงๆ ความหอมนั้นมีกลิ่นหวานแทรกเข้ามาเย้ายวน หากตนใช้น้ำหอมนี้ฮ่องเต้จะมิชอบได้อย่างไร
เมื่อเห็นแววตาของนางเป็นประกาย อินชิงเสวียนก็รู้ได้ทันทีว่าการค้านี้คงไปได้สวย
"กระหม่อมยังมีแป้งแข็งกลิ่นหอมอ่อนๆ ด้วย เหมาะกับเหนียงเหนียงยิ่งนัก"
อินชิงเสวียนเปิดกล่องแป้งตลับออก ด้านในนั้นมีกระจกน้อยๆ ที่สามารถส่องหน้าคนได้
ซูฉ่ายเวยรู้สึกยินดีเหลือเกิน สิ่งของเหล่านี้ต่อให้มิใช่ เก็บเอาไว้ดูก็งดงาม
อินชิงเสวียนหรี่ตามองแล้วยิ้มขึ้นว่า "ของทั้ง 3 อย่างนี้นำมาจากประเทศฮว๋าเซี่ยตะวันออก ราคามิเบา กระหม่อมไม่คิดกำไรกับเหนียงเหนียง 3 อย่างนี้ขายให้ในราคา 1,500 ตำลึงก็พอ แต่หากเหนียงเหนียงคิดว่าแพงเกินไป กระหม่อมจะหาเจ้าของใหม่ให้พวกมันเอง"
"มิจำเป็น ข้าจะซื้อไว้หมดนี่"
อินชิงเสวียนกล่าวจบก็รีบหันไปกำชับกับเซียงหลานด้วยความกระตือรือร้น "ยังมิรีบกลับไปนำเงินมาอีก"
อินชิงเสวียนรีบฉวยโอกาสนี้เอ่ยขึ้นว่า "เหนียงเหนียงหน้าตางดงามที่สุดในวังหลัง หากใช้เครื่องประทินโฉมเหล่านี้จะยังต้องกังวลเรื่องฮ่องเต้ไม่เสด็จมาอีกหรือ"
ซูฉ่ายเวยรับของชิ้นเล็กทั้ง 3 ไป มุมปากเผยอขึ้นเกือบถึงหู
ใช่แล้ว ใบหน้าของนางหาใช่คนธรรมดาจะมาเปรียบได้ บัดนี้ลู่จิ้งเสียนถูกลดตำแหน่งไปเป็นเพียงผิน ใช้เวลาอีกมินานก็จะถูกตนเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า เมื่อนึกถึงครั้งก่อนที่โดนตบไปหลายหน ซูฉ่ายเวยก็ส่งเสียงหัวเราะอันแสบแก้วหูออกมา
เมื่อหัวเราะแล้วนางจึงเพิ่งรู้ตัวว่าอินชิงเสวียนยืนอยู่ตรงหน้า จึงรีบเก็บอาการไว้
จังหวะเดียวกันกับที่เซียงหลานออกมาจากตำหนัก ซูฉ่ายเวยจึงรีบเข้าไปแย่งเงินยื่นส่งให้อินชิงเสวียน
"จากนี้ต่อไป หากว่าเสี่ยวกงกงมีสิ่งของน่าสนใจเหล่านี้อีก จงนำมันมาให้ข้าเถิด ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องขาดทุนอย่างแน่นอน"
อินชิงเสวียนรับเงินไว้แล้วโค้งกายคำนับ "ขอบคุณเหนียงเหนียงสำหรับรางวัลนี้ ของดีๆ นั้นกระหม่อมมีมากมาย อีก 2-3 วันจะนำมาให้เหนียงเหนียงอีก"
"อืม ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่หอฉงฮวานี้"
ซูฉ่ายเวยสะบัดผ้าเช็ดหน้าแล้วแสร้งทำเป็นอ่อนโยน กล่าวว่า "ดูท่าทางเจ้ารีบร้อนยิ่งนัก คาดว่าคงจะมาทำธุระให้ฝ่าบาท เช่นนั้นข้ามิรบกวนเวลาเจ้าแล้ว ข้าเองก็จะไปหาท่านพี่เสียนผิน"
อินชิงเสวียนโค้งกายคำนับ "เชิญเหนียงเหนียง"
ซูฉ่ายเวยยิ้มแล้วเดินเข้าไปในตำหนักด้วยท่าทีซึ่งคิดว่าสง่างามแล้ว
เมื่อเห็นนางเดินจากไป อินชิงเสวียนจึงยืนตัวตรงแล้วนำเงินออกมาตรวจสอบ
เป็นเงินจำนวน 1,500 ตำลึงจริงๆ ได้กำไรมากกว่าทำการค้ากับฮ่องเต้เสียอีก
นางจูบไปที่เงินนั้นเบาๆ แล้วรีบก้าวขาเร่งฝีเท้าเข้าไปในวังเย็น
อวิ๋นฉ่ายกำลังทำขนมเปี๊ยะอยู่ เมื่อเข้าไปในลานจึงได้กลิ่นหอมของขนม
"แม่หนู เจ้าเรียนรู้ได้เร็วทีเดียว"
เมื่อได้ยินเสียงคนพูด อวิ๋นฉ่ายจึงหันศีรษะกลับไป หลังจากเห็นว่าเป็นอินชิงเสวียนก็ดีใจยิ่งนัก
"เจ้านายกลับมาแล้วหรือเพคะ"
อินชิงเสวียนยิ้มแล้วพยักหน้า "ยายหลี่และเจ้าหมาน้อยเล่า"
"นี่อย่างไร"
ยายหลี่อุ้มเจ้าหมาน้อยออกมา
มิได้เจอกันเพียงแค่ 2-3 วัน เจ้าหมาน้อยโตขึ้นมากทีเดียว ผมก็ดูหนาดกดำขึ้น ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นดูเป็นประกาย คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ช่างเหมือนกับเย่จิ่งอวี้เหลือเกิน
เจ้าหนูน้อยนับวันยิ่งหน้าตาเหมือนกับพ่อที่มิได้เรื่องของเขายิ่งนัก
ดูเหมือนเจ้าหมาน้อยจะจำอินชิงเสวียนได้ เขาเตะแข้งเตะขาอ้ามือออกไปทางอินชิงเสวียนแล้วร้องอู้อี้
ยายหลี่กล่าวขึ้นว่า "เลือดนั้นข้นกว่าน้ำ องค์ชายน้อยจำเหนียงเหนียงได้"
อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปรับเจ้าหมาน้อยมาอุ้ม
"เจ้าก้อนเนื้อน้อยๆ จำแม่ของเจ้าได้จริงหรือ"
เจ้าหมาน้อยดีอกดีใจยิ่งนัก มือที่เต็มไปด้วยเนื้ออ้วนพีตบลงไปสัมผัสไปบนใบหน้าของนางเต็มเปา
อินชิงเสวียนจับมืออ้วนกลมของเขาเอาไว้แล้วจุมพิตอย่างแรง
"ข้าจะจับมือเจ้าเอามากัดเสีย"
เจ้าหมาน้อยดูเหมือนเข้าใจว่าอินชิงเสวียนกำลังเล่นกับเขา ปากน้อยๆ อ้าออกหัวเราะเสียงดัง
ยายหลี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างอดมิได้ที่จะยิ้มตาม
หากเหนียงเหนียงอยู่กับองค์ชายน้อยได้ตลอดก็คงดี
บัดนี้เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเหนียงเหนียงแปลงตนเป็นขันทีคอยอยู่ข้างกายฝ่าบาท จึงรีบเอ่ยถามว่า "เหนียงเหนียง ฝ่าบาทมิรู้ตัวตนของท่านใช่หรือไม่เพคะ"
อินชิงเสวียนเล่นกับเจ้าหมาน้อยพลางตอบว่า "วางใจเถิด เขามิรู้ อีกอย่างเขาอนุญาตให้ข้าเดินทางมาหาน้องสาวที่วังเย็นได้ รอไว้วันใดที่เขาอารมณ์ดีแล้วข้าจะร้องขอให้เขาสั่งให้พวกเจ้าออกจากวังเย็น"
ยายหลี่ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า "เรื่องนี้มิต้องรีบร้อนใจไป หม่อมฉันและอวิ๋นฉ่ายออกจากที่นี่ไปมิเป็นไรหรอก แต่หากออกจากวังเย็นเมื่อไรแล้วองค์ชายน้อยคงจะถูกพบเข้า เราอยู่ที่นี่จะปลอดภัยกว่าเพคะ"
อินชิงเสวียนขมวดคิ้วอันได้รูปขึ้นแล้วพยักหน้าเบาๆ
ยายหลี่พูดถูก ผู้ใหญ่นั้นมิเท่าไร แต่เจ้าเด็กน้อยนี้จะปิดซ่อนไว้อย่างไร หากถูกใครพบเข้าคงอธิบายลำบาก
ยายหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความรัก "เหนียงเหนียงมิต้องเป็นกังวลพวกเราหรอกเพคะ เราอยู่ที่นี่มีกินมีดื่ม อีกทั้งมิต้องปรนนิบัติรับใช้ใคร สบายใจยิ่งนัก"
อวิ๋นฉ่ายเองก็ยิ้มขึ้น "นั่นสิ หม่อมฉันและยายหลี่อยู่ในวังเย็นนี้ อยากกินอาหารกี่มื้อก็ได้ อยากทำสิ่งใดก็ทำ สบายใจยิ่งนักเพคะ"
เมื่อนึกถึงตนที่ต้องปรนนิบัติรับใช้เย่จิ่งอวี้ทุกวัน อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจออกมา
"ที่พวกเจ้าพูดก็มีเหตุมีผล หากว่าพวกเจ้าออกไปจากวังเย็นแล้ว เย่จิ่งอวี้คงจะสั่งให้พวกเจ้ารับใช้เจ้านายที่เรื่องมาก สู้อยู่ในวังเย็นอย่างสบายใจดีกว่า ที่สำคัญก็คือเจ้าหมาน้อยยังเด็กเหลือเกิน ยังไม่อาจจัดการสิ่งใดได้"
ยายหลี่พยักหน้าตอบว่า "เป็นจริงดังนั้นเพคะ"
"เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง ข้าจะออกไปเอาเนื้อสัตว์ ผลไม้และผักมาให้พวกเจ้า"
อินชิงเสวียนอุ้มเจ้าหมาน้อยไปให้ยายหลี่ แต่เจ้าหมาน้อยกลับจับเสื้อของอินชิงเสวียนไว้มิยอมปล่อย ปากน้อยๆ ของเขาอ้าออกแล้วกล่าวคำว่าแม่ออกมา
อวิ๋นฉ่ายมองไปทางเจ้าหมาน้อยด้วยความตกตะลึง
"เจ้านายเพคะ เมื่อครู่องค์ชายน้อยเรียกท่านว่าแม่ใช่หรือไม่"
ยายหลี่เองก็ตกตะลึง
"ดูเหมือนจะเป็นดังนั้น แต่เจ้าหนูน้อยอายุเพิ่งไม่เท่าไรเอง เหตุใดจึงพูดได้เล่า"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
จะว่าเพื่อนรึก็ท่าทีแปลกๆ...
สืบไม่ได้เรื่องอีก นางเอกเห็นแล้ว เซ็งเลย จริงๆ อยากให้พระเอกสืบรู้ หลังจากนั้นก็ใช้สมองคอยจับไต๋และกลั่นแกล้งยัยน้อง น่าจะสนุกไปอีก...
รอเต้รู้ว่าขันทีน้อยคือเมียตวเองที่แสร้งตายแถมยังมีลูกชายอีกแล้วแอบเก็บงำไว้จับไต๋ยัยน้อง คงจะยิ่งสนก...
นางเอกช่างเป็นแม่ที่ไม่ปลอบโยนลูกเลยจริงๆ555...
ไม่สะกดรอยขันทีน้ยนี้ไปสักครั้งหน่อยหรือ...