สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 52

อินชิงเสวียนได้ยินอย่างชัดเจน เมื่อครู่เจ้าหนูพูดออกมาว่าแม่

นางเอื้อมมือออกไปจิ้มแก้มน้อยๆ ของเขาที่อ่อนนุ่ม

“เจ้าเรียกให้ข้าฟังอีกครั้งสิ”

เจ้าหมาน้อยใช้ดวงตาอันดำขลับจ้องไปที่นาง แต่มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก

“ดูเหมือนว่าจะบังเอิญพูดออกมาเท่านั้น หากเด็กเล็กขนาดนี้พูดได้คงน่าตกใจน่าดู”

อินชิงเสวียนเล่นอยู่กับเจ้าหนูน้อยอีกสักพัก ก่อนคืนเจ้าหมาน้อยให้กับยายหลี่ ส่วนตนกลับเข้าไปในมิติแล้วนำผักผลไม้ รวมถึงข้าวและแป้งออกมา จากนั้นจึงไปยังร้านค้าคะแนนสะสมเพื่อแลกปีกไก่และเนื้อหมู

ด้วยความไวในการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ในมิติ มันทั้งโตและสุกเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า เมื่อนางเห็นว่าในนิติมีแป้งและข้าวจำนวนหลายร้อยกระสอบวางอยู่ก็หนักใจ

อินชิงเสวียนยกมือขึ้นเคาะศีรษะของตนแล้วเดินทางออกจากมิติไป

เอาเป็นว่าของเหล่านี้ยังมิบูดเน่าง่ายๆ เอาไว้ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน เมื่อมีโอกาสค่อยจัดการ

เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนนำอาหารกลับมาเยอะแยะมากมาย อวิ๋นฉ่ายก็ดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจ

"ท่านปู่เซียนช่างดีกับเจ้านายเหลือเกิน ทุกครั้งท่านได้ให้อาหารการกินมามากมาย"

“นั่นน่ะสิ นี่เรียกว่าทำดีได้ดี!"

อินชิงเสวียนเผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นกำชับว่า “ตอนนี้อากาศร้อนนัก พวกเจ้ากินอาหารแล้วอย่าได้เหลือทิ้ง มิเช่นนั้นมันอาจบูดเสีย ไว้อีกสองวันข้าจะกลับมาดูพวกเจ้าใหม่”

ดูเหมือนว่าเจ้าหมาน้อยจะฟังรู้ความ เข้าใจว่าแม่ของตนจะไปแล้ว เขาจึงเอื้อมมือน้อยๆ ออกไปจับ ปากก็พึมพำบ่นไม่หยุดอินชิงเสวียนอุ้มเจ้าก้อนเนื้อน้อยๆ นี้เอาไว้ แล้วถูไถไปยังแก้มของเขา

"เจ้าหมาน้อยอย่าดื้อนะ อีกสองวันแม่จะกลับมาดูเจ้าใหม่"

เจ้าหมาน้อยออกแรงดึงบ่าของนางเอาไว้ ปากน้อยๆ พึมพำออกมาสองคำ

“ไม่ ไม่”

ในครั้งนี้ทุกคนล้วนได้ยินชัดเจน ต่างหันมามองหน้ากัน

ยายหลี่พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า "เด็กน้อยคนนี้พูดได้แล้วจริงๆ !”

อวิ๋นฉ่ายเองก็รู้สึกประหลาดใจ

“นั่นสิ อายุเพียงเท่านี้ก็พูดได้แล้ว ช่างน่าประหลาดใจเหลือเกิน"

“คงจะพูดคำออกมาจากริมฝีปากโดยบังเอิญเท่านั้น"

แม้อินชิงเสวียนจะยังไม่เคยเป็นแม่ แต่ก็รู้ว่าโดยมากแล้วเด็กๆ จะพูดได้เมื่ออายุประมาณหนึ่งขวบจึงจะเป็นเรื่องปกติ ถึงแม้เด็กบางคนพูดเร็วกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่เคยเห็นใครพูดได้ในเวลาเพียงแค่อายุ 10 กว่าวัน

เจ้าหมาน้อยอ้าปากแล้วเข้ามางับแก้มของอินชิงเสวียนอีกครั้ง

ยายหลี่เห็นดังนั้นจึงกล่าว “องค์ชายน้อยคาดว่าคงจะหิวแล้ว หม่อมฉันจะไปชงให้เขาดื่มเพคะ"

อินชิงเสวียนถูกงับแก้มเสียจนจักจี้ นางรีบผลักศีรษะเขาออกไป ตอนที่ยายหลี่ชงนมแล้วถือขวดนมออกมา แววตาอันดำขลับของเจ้าหมาน้อยก็เป็นประกาย

เขายื่นมืออ้วนๆ ออกมาคว้าขวดนมเอาไว้แล้วใช้แรงดูด ขาอ้วนๆ ข้างหนึ่งชี้ขึ้นช่างสบายใจเหลือเกิน

ยายหลี่อุ้มเขาเข้าไปในบ้านแล้ววางลงบนเตียง

ก่อนจะกระซิบบอกอินชิงเสวียนว่า “เวลาที่องค์ชายน้อยดื่มนมมักจะมิร้องโวยวาย เหนียงเหนียงรีบจากไปเสียตอนนี้เถิด!"

อินชิงเสวียนพยักหน้า หากว่าเจ้าหมาน้อยร้องไห้ขึ้นมาอีกละก็ นางคงมิอยากจะจากไปไหน

“เช่นนั้นข้าขอกลับไปก่อน พวกเจ้าอดทนกันไปอีกสักหน่อย ข้าจะหาวิธีทางออกให้เอง"

ยายหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความรักว่า “พวกเราอยู่ในวังเย็นนี้ดียิ่งนัก เหนียงเหนียงมิต้องเป็นกังวลเลย เหนียงเหนียงต่างหากเล่า บัดนี้อยู่ข้างกายฝ่าบาท มิต่างอะไรกับอยู่ข้างกายราชสีห์ หากถูกเขาค้นพบเข้าเกรงว่าคงจะจบแน่ เหนียงเหนียงต้องคอยระมัดระวังเข้าไว้ อย่าได้ให้ฮ่องเต้ทรงจับได้นะเพคะ"

อวิ๋นฉ่ายเองก็เข้าไปดึงมือของอินชิงเสวียนไว้อย่างอาลัยอาวรณ์

"เจ้านาย ต้องระมัดระวังตัวนะเพคะ"

“วางใจเถิด เจ้านายของเจ้าหลักแหลมยิ่งนัก"

จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกเรื่องเงินขึ้นมาได้จึงรีบหยิบออกมา

"นี่คือเงินที่ข้าเพิ่งขายของมาได้ 1,500 ตำลึง ข้าเก็บเอาไว้ 500 ตำลึงเผื่อใช้ในยามคับขัน ที่เหลือจงเก็บไว้ที่วังเย็นเถิด"

อวิ๋นฉ่ายรับเงินไปแล้วกล่าวด้วยความดีอกดีใจว่า “เจ้านายช่างเก่งยิ่ง ติดตามอยู่ข้างกายฝ่าบาทยังมีโอกาสทำการค้าได้" อินชิงเสวียนส่งเสียงหึๆ ออกมาอย่างภาคภูมิใจ

"เจ้ามิรู้หรือว่าเจ้านายของเจ้าคือใคร"

เมื่อก้มลงมอง พบว่าเจ้าหมาน้อยดูดนมไปได้กว่าครึ่งขวดแล้ว จึงรีบกล่าวว่า “ข้าต้องรีบไป หากรอให้เขาดื่มหมดอาจจะร้องไห้ได้"

"เจ้านายเพคะ หม่อมฉันจะไปส่งท่านเอง"

อวิ๋นฉ่ายส่งอินชิงเสวียนมาจนถึงรูสุนัขเข้าออก จากนั้นนางก็หยุดฝีเท้าลง

“จากนี้พวกเจ้าจงปิดประตูเข้าออกนี้เถิด ข้ามีกุญแจของวังเย็น ต่อไปนี้ให้ใช้ประตูใหญ่ มิอย่างนั้นคงไม่ค่อยปลอดภัยนัก”

อวิ๋นฉ่ายนึกถึงหวังเอ้อร์หวู่ขึ้นมาได้ จึงพยักหน้าตอบว่า “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ"

อินชิงเสวียนจับมือของนางเอาไว้ แล้วตบลงไปเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน

“อย่าได้คิดมากไป ในใจของข้านั้นเจ้าเป็นหญิงสาวที่บริสุทธิ์อ่อนช้อย หากเราสามารถออกจากราชวังหลวงได้จริงๆ ข้าจะหาคนดีๆ มาแต่งงานกับเจ้าเอง"

อวิ๋นฉ่ายหน้าแดงเรื่อในทันที

“หม่อมฉันมิอยากแต่งงาน ทั้งชีวิตนี้ขอติดตามเจ้านาย ดูแลรับใช้เจ้านายไปจนวันตาย"

อินชิงเสวียนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ทำไมหรือ เจ้าคิดอยากจะเกาะข้ากินไปตลอดชีวิต"

อวิ๋นฉ่ายเองก็หัวเราะแล้วเข้าไปดึงแขนอินชิงเสวียนไว้เบาๆ "หม่อมฉันมิสนใจ เอาเป็นว่าชีวิตนี้หม่อมฉันจะขอติดตามเจ้านายไปตลอด"

"เอาล่ะข้าตกลง วันนี้มานานมากแล้ว ข้าต้องกลับก่อน"

อินชิงเสวียนเองก็ไม่กล้ากลับไปสายมากนัก หากว่าเย่จิ่งอวี้เกิดบ้าคลั่งขึ้นมาแล้วมาหานางที่วังเย็นก็คงจบเห่กันพอดี

“เจ้านายเดินทางปลอดภัยนะเพคะ"

อินชิงเสวียนโบกมือลา จากนั้นมุดออกไปอย่างชำนาญ

บัดนี้ใกล้จะถึงเวลากลางวันแล้ว คาดว่าเย่จิ่งอวี้คงเสร็จจากการประชุมราชวงศ์เช้า อินชิงเสวียนจึงจำเป็นต้องเร่งฝีเท้า

เมื่อเห็นว่าใกล้จะไปถึงห้องทรงพระอักษร จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านหลังว่า “เสี่ยวกงกง ช้าก่อน"

อินชิงเสวียนหันหน้ากลับไปมอง พบชายคนหนึ่งสวมชุดยาวสีม่วงกำลังเดินมาช้าๆ ใบหน้ามองมาทางนางด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเห็นใบหน้านั้นอินชิงเสวียนก็อดมิได้ที่จะขนลุกขนพอง

นางพบกับเย่จิ่งเย่าผู้ชายคนนี้เข้าจนได้

นางชะงักลงเล็กน้อย จากนั้นโค้งกายคารวะ

“กระหม่อมเสี่ยวเสวียนจือ คารวะอันผิงอ๋อง"

เย่จิ่งเย่าเดินมาหยุดอยู่ข้างกายอินชิงเสวียน ดวงตาอันแหลมคมคู่นั้นมองไปยังใบหน้าของอินชิงเสวียน

จากนั้นกล่าวกึ่งยิ้มว่า “หน้าตาของเจ้า......ดูละม้ายคล้ายกับคนที่ข้าเคยรู้จัก"

อินชิงเสวียนกล่าวอย่างเฉยเมยว่า "คนรู้จักของท่านอ๋องคาดว่าคงจะมีตำแหน่งใหญ่โตสูงส่ง กระหม่อมจะมีบุญเช่นนั้นได้อย่างไร"

เย่จิ่งเย่ามองไปยังอินชิงเสวียนตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นกล่าวว่า “ผู้ที่ข้าเคยรู้จักคนนั้นมีสถานะตัวตนที่สูงส่งก็จริง น่าเสียดายที่ตอนนี้เหลือเพียงกระดูก”

อินชิงเสวียนเหงื่อออกท่วมตัว แย่แล้วไอ้สารเลวนี่น่าจะจำนางได้แล้วล่ะ

แต่ปากกลับกล่าวว่า “งั้นหรือ ช่างน่าเสียดายเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งเย่าถอนหายใจกล่าวว่า "ช่างน่าเสียดายรูปร่างงดงามนั้นเหลือเกิน แต่โชคดีที่สวรรค์บันดาลให้ข้ามาพบเจ้าพอดี ข้ากำลังจะไปคารวะหลุมศพนาง”

อินชิงเสวียนตกใจเสียจนขนหัวลุก รีบกล่าวว่า "กระหม่อมเป็นเพียงแค่ผู้ที่คอยรับใช้อยู่หน้าตำหนัก หาได้เหมาะสมที่ท่านอ๋องจะให้ความใส่ใจ บัดนี้ฮ่องเต้น่าจะเสร็จสิ้นการประชุมราชวงศ์เช้าแล้ว กระหม่อมต้องรีบกลับไปปรนนิบัติรับใช้ ต้องขออภัยท่านอ๋องด้วย"

อินชิงเสวียนกล่าวจบก็คิดจะเดินจากไป แต่ทันใดนั้นร่างของนางก็สั่นไหวเพราะถูกเย่จิ่งเย่าดึงเอาไว้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์