อินชิงเสวียนได้ยินอย่างชัดเจน เมื่อครู่เจ้าหนูพูดออกมาว่าแม่
นางเอื้อมมือออกไปจิ้มแก้มน้อยๆ ของเขาที่อ่อนนุ่ม
“เจ้าเรียกให้ข้าฟังอีกครั้งสิ”
เจ้าหมาน้อยใช้ดวงตาอันดำขลับจ้องไปที่นาง แต่มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก
“ดูเหมือนว่าจะบังเอิญพูดออกมาเท่านั้น หากเด็กเล็กขนาดนี้พูดได้คงน่าตกใจน่าดู”
อินชิงเสวียนเล่นอยู่กับเจ้าหนูน้อยอีกสักพัก ก่อนคืนเจ้าหมาน้อยให้กับยายหลี่ ส่วนตนกลับเข้าไปในมิติแล้วนำผักผลไม้ รวมถึงข้าวและแป้งออกมา จากนั้นจึงไปยังร้านค้าคะแนนสะสมเพื่อแลกปีกไก่และเนื้อหมู
ด้วยความไวในการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ในมิติ มันทั้งโตและสุกเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า เมื่อนางเห็นว่าในนิติมีแป้งและข้าวจำนวนหลายร้อยกระสอบวางอยู่ก็หนักใจ
อินชิงเสวียนยกมือขึ้นเคาะศีรษะของตนแล้วเดินทางออกจากมิติไป
เอาเป็นว่าของเหล่านี้ยังมิบูดเน่าง่ายๆ เอาไว้ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน เมื่อมีโอกาสค่อยจัดการ
เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนนำอาหารกลับมาเยอะแยะมากมาย อวิ๋นฉ่ายก็ดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจ
"ท่านปู่เซียนช่างดีกับเจ้านายเหลือเกิน ทุกครั้งท่านได้ให้อาหารการกินมามากมาย"
“นั่นน่ะสิ นี่เรียกว่าทำดีได้ดี!"
อินชิงเสวียนเผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นกำชับว่า “ตอนนี้อากาศร้อนนัก พวกเจ้ากินอาหารแล้วอย่าได้เหลือทิ้ง มิเช่นนั้นมันอาจบูดเสีย ไว้อีกสองวันข้าจะกลับมาดูพวกเจ้าใหม่”
ดูเหมือนว่าเจ้าหมาน้อยจะฟังรู้ความ เข้าใจว่าแม่ของตนจะไปแล้ว เขาจึงเอื้อมมือน้อยๆ ออกไปจับ ปากก็พึมพำบ่นไม่หยุดอินชิงเสวียนอุ้มเจ้าก้อนเนื้อน้อยๆ นี้เอาไว้ แล้วถูไถไปยังแก้มของเขา
"เจ้าหมาน้อยอย่าดื้อนะ อีกสองวันแม่จะกลับมาดูเจ้าใหม่"
เจ้าหมาน้อยออกแรงดึงบ่าของนางเอาไว้ ปากน้อยๆ พึมพำออกมาสองคำ
“ไม่ ไม่”
ในครั้งนี้ทุกคนล้วนได้ยินชัดเจน ต่างหันมามองหน้ากัน
ยายหลี่พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า "เด็กน้อยคนนี้พูดได้แล้วจริงๆ !”
อวิ๋นฉ่ายเองก็รู้สึกประหลาดใจ
“นั่นสิ อายุเพียงเท่านี้ก็พูดได้แล้ว ช่างน่าประหลาดใจเหลือเกิน"
“คงจะพูดคำออกมาจากริมฝีปากโดยบังเอิญเท่านั้น"
แม้อินชิงเสวียนจะยังไม่เคยเป็นแม่ แต่ก็รู้ว่าโดยมากแล้วเด็กๆ จะพูดได้เมื่ออายุประมาณหนึ่งขวบจึงจะเป็นเรื่องปกติ ถึงแม้เด็กบางคนพูดเร็วกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่เคยเห็นใครพูดได้ในเวลาเพียงแค่อายุ 10 กว่าวัน
เจ้าหมาน้อยอ้าปากแล้วเข้ามางับแก้มของอินชิงเสวียนอีกครั้ง
ยายหลี่เห็นดังนั้นจึงกล่าว “องค์ชายน้อยคาดว่าคงจะหิวแล้ว หม่อมฉันจะไปชงให้เขาดื่มเพคะ"
อินชิงเสวียนถูกงับแก้มเสียจนจักจี้ นางรีบผลักศีรษะเขาออกไป ตอนที่ยายหลี่ชงนมแล้วถือขวดนมออกมา แววตาอันดำขลับของเจ้าหมาน้อยก็เป็นประกาย
เขายื่นมืออ้วนๆ ออกมาคว้าขวดนมเอาไว้แล้วใช้แรงดูด ขาอ้วนๆ ข้างหนึ่งชี้ขึ้นช่างสบายใจเหลือเกิน
ยายหลี่อุ้มเขาเข้าไปในบ้านแล้ววางลงบนเตียง
ก่อนจะกระซิบบอกอินชิงเสวียนว่า “เวลาที่องค์ชายน้อยดื่มนมมักจะมิร้องโวยวาย เหนียงเหนียงรีบจากไปเสียตอนนี้เถิด!"
อินชิงเสวียนพยักหน้า หากว่าเจ้าหมาน้อยร้องไห้ขึ้นมาอีกละก็ นางคงมิอยากจะจากไปไหน
“เช่นนั้นข้าขอกลับไปก่อน พวกเจ้าอดทนกันไปอีกสักหน่อย ข้าจะหาวิธีทางออกให้เอง"
ยายหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความรักว่า “พวกเราอยู่ในวังเย็นนี้ดียิ่งนัก เหนียงเหนียงมิต้องเป็นกังวลเลย เหนียงเหนียงต่างหากเล่า บัดนี้อยู่ข้างกายฝ่าบาท มิต่างอะไรกับอยู่ข้างกายราชสีห์ หากถูกเขาค้นพบเข้าเกรงว่าคงจะจบแน่ เหนียงเหนียงต้องคอยระมัดระวังเข้าไว้ อย่าได้ให้ฮ่องเต้ทรงจับได้นะเพคะ"
อวิ๋นฉ่ายเองก็เข้าไปดึงมือของอินชิงเสวียนไว้อย่างอาลัยอาวรณ์
"เจ้านาย ต้องระมัดระวังตัวนะเพคะ"
“วางใจเถิด เจ้านายของเจ้าหลักแหลมยิ่งนัก"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...