สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 53

"เสด็จพี่ของข้าคงต้องรออีกสักพักจึงจะเสร็จการประชุม เสี่ยวกงกงมิจำเป็นต้องรีบร้อนปานนั้น"

เย่จิ่งเย่าเข้ามาขวางทางเอาไว้ รอยยิ้มในแววตาดูเข้มข้นขึ้น

"เสี่ยวกงกงเหตุใดจึงดูกลัวข้าเช่นนั้น"

อินชิงเสวียนถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งแล้วกล่าวอย่างรีบร้อนใจว่า "ท่านเป็นถึงอ๋อง กระหม่อมเป็นเพียงบ่าว กระหม่อมย่อมต้องยำเกรงต่อเจ้านาย"

เย่จิ่งเย่าส่งเสียงหึๆ ออกมา "ช่างตอบได้ดีนัก ในเมื่อเจ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็จงติดตามข้ามา ข้ามิได้เข้าวังมานับปีแล้ว มิรู้ว่าเสด็จพี่ของข้าชื่นชอบสิ่งใดบ้างในช่วงนี้"

"กระหม่อมเองก็เพิ่งถูกย้ายให้มารับใช้ข้างกายฮ่องเต้ ยังมิค่อยรู้เรื่องราวของฮ่องเต้เท่าไรนัก หากท่านอ๋องประสงค์จะทราบสามารถสอบถามหลี่กงกงได้ กระหม่อมมีหน้าที่ดูแลดอกไม้และต้นไม้ในสวนอวิ๋นเซียง มิสะดวกที่จะอยู่เป็นเวลานาน ท่านอ๋องได้โปรดอภัยด้วย"

อินชิงเสวียนคิดอยากจะจากไปให้รวดเร็ว คนคนนี้น่ากลัวกว่าเย่จิ่งอวี้เสียอีก

เขาคบหากับเจ้าของร่างเดิมมาได้หนึ่งปี เรียกได้ว่าใกล้จะแต่งงานกันอยู่แล้ว จู่ๆ เขากลับไปแต่งงานกับบุตรสาวของโหวเหนือช่างมิต่างอันใดกับขยะน่ารังเกียจ

อินชิงเสวียนรีบเดินอ้อมไปจากเขาอย่างรวดเร็ว แต่จู่ๆ ข้อมือก็ถูกกำไว้แน่นโดยเย่จิ่งเย่า

เขาใช้แววตาหยอกล้อมองไปทางอินชิงเสวียนเหมือนกับแมวกำลังล่าหนู "มิใช่ว่าเจ้าทำเรื่องน่าละอายใจสิ่งใด จึงต้องการหนีข้าไปไกลและรวดเร็วเพียงนี้"

อินชิงเสวียนรีบร้อนใจตอบว่า "ปล่อยเถิด ท่านอ๋องโปรดระมัดระวังกริยาด้วย"

"บังอาจ เจ้าเป็นเพียงแค่ขันทีธรรมดาๆ กล้ากล่าวให้ข้าระมัดระวังกริยาได้เช่นไร มิกลัวว่าข้าจะลงโทษเจ้าหรือ”

ใบหน้าของเย่จิ่งเย่ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่สีหน้านั้นดูหยอกล้อยั่วยุ

อินชิงเสวียนมองไปแล้วใจสั่นด้วยความหนาวเหน็บ แต่ปากของนางก็ยังมิยอมแพ้

"กระหม่อมได้รับคำสั่งให้ไปตรวจสอบดูเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกเอาไว้ นี่เป็นความหวังของประชาชนทั้งหลาย หากเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นละก็ มิทราบว่าท่านอ๋องจะรับผิดชอบได้หรือไม่"

เย่จิ่งเย่าหัวเราะเยาะเย้ยขึ้น กล่าวว่า "เจ้ากล้าแอบอ้างเอาประชาชนมากดดันข้า คิดว่าข้ามิรู้จริงหรือว่าเจ้าเป็นใคร วันนี้ข้าจะพิสูจน์เองว่าเจ้าเป็นขันทีจริงหรือไม่"

กล่าวจบเขาก็ลากอินชิงเสวียนเข้าไปในสวนดอกไม้ด้านข้าง อินชิงเสวียนตกใจเสียจนเหงื่อออกท่วมตัว

หากว่าถูกจับได้ละก็ทุกอย่างคงจบสิ้น

ในยามคับขัน นางจึงจำเป็นต้องเตะไปที่เข่าของเย่จิ่งเย่า

เย่จิ่งเย่าถูกเตะเสียจนปวดร้าวครวญคราง แต่เขายังไม่ยอมปล่อยมือ กดนางเข้าไปที่ต้นไม้อย่างแรง

เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งเย่ากำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อินชิงเสวียนก็รีบร้อนใจตะโกนว่า "ปล่อยข้า!"

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงใครคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นจากบริเวณไกลออกไปว่า "ผู้ใดส่งเสียงอึกกระทึกครึกโครมที่นี่"

เมื่อได้ยินน้ำเสียงต่ำทุ้มและเต็มไปด้วยแรงดึงดูดนี้ อินชิงเสวียนก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน

นางตะโกนเสียงดังว่า "กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”

เสียงฝีเท้าดังขึ้น เย่จิ่งอวี้พาหลี่เต๋อฝูและคนอื่นๆ เดินตรงเข้ามา

เย่จิ่งเย่าสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบปล่อยอินชิงเสวียน

"ถวายบังคมเสด็จพี่"

สายตาของเย่จิ่งอวี้กวาดมองไปยังมือของอินชิงเสวียนที่ช้ำเล็กน้อย แววตาส่วนลึกของเขาประกายความโกรธออกมา

จากนั้นก็เก็บกลั้นมันเอาไว้

"มิต้องมากพิธีความไป ข้าให้เจ้าอยู่กับหวังเฟยมิใช่หรือ เหตุใดวันนี้จึงเดินทางเข้าวัง”

เย่จิ่งเย่าตอบด้วยความเคารพว่า "ข้าต้องการพักผ่อนสัก 2-3 วัน อีกอย่าง หวังเฟยต้องการจะเดินทางเข้าวังเพื่อแสดงความกตัญญู ดังนั้นข้าจึงได้พานางเข้ามาด้วย"

แววตาของเย่จิ่งอวี้หรี่ลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามว่า "ในเมื่อจะเดินทางเข้าวังเพื่อแสดงความกตัญญู แล้วเหตุใดจึงมาอยู่กับบ่าวรับใช้ของข้าได้"

เย่จิ่งเย่าหัวเราะหึๆ กล่าวว่า "ข้าเห็นว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้มิได้ติดตามเสด็จพี่ จึงรู้สึกสงสัยเข้าไปถาม แต่กลับถูกเขาเข้าใจผิด”

อินชิงเสวียนได้ยินดังนั้นก็กัดฟันกรอด เข้าใจผิดงั้นหรือ เจ้าคิดจะทำมิดีมิร้ายข้าต่างหาก!

น้ำเสียงของเย่จิ่งอวี้ดูเยือกเย็นลงเล็กน้อย "ข้าสั่งให้เขาดูแลสวนอวิ๋นเซียง ดังนั้นจึงมิได้รับใช้อยู่ข้างกาย ในเมื่อวันนี้เจ้าเดินทางเข้าวังแล้วก็จงไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮาเถิด เพื่อแสดงถึงความกตัญญูของเจ้า"

เย่จิ่งเย่าโค้งกายคำนับกล่าวว่า "เสด็จพี่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว บัดนี้ข้ากำลังจะเดินทางไปตำหนักฉือหนิงเพื่อเข้าเฝ้าเสด็จแม่ แล้วจะมาคารวะเสด็จพี่อีกทีในภายหลัง"

เย่จิ่งอวี้ตอบรับเบาๆ แล้วหันไปกำชับกับอินชิงเสวียนว่า "ยังมิรีบมาอีก"

"พ่ะย่ะค่ะ"

อินชิงเสวียนจับไปยังขอมือที่เจ็บอยู่ จากนั้นไปยืนด้านล่างเย่จิ่งอวี้ด้วยความเชื่อฟัง

ในใจของนางยังคงมีความหวาดผวา เกรงว่าเย่จิ่งเย่าจะเปิดโปงตัวตนของนาง ดังนั้นจึงกระสับกระส่ายกระวนกระวาย

โชคดีที่เย่จิ่งเย่ามิได้อยู่ต่อนานนัก หลังจากถวายบังคมแล้วจากไปทันที

เมื่อมองไปยังร่างของชายชั่วผู้นั้นที่จากไป อินชิงเสวียนจึงถอนหายใจ ในที่สุดก็ปลอดภัยสักที

ส่วนเย่จิ่งอวี้หันไปมองอินชิงเสวียนแวบหนึ่ง เขาเกิดความคิดในใจเล็กน้อย ทันทีก็ก้าวไปยังห้องทรงพระอักษร

อินชิงเสวียนรีบเดินติดตามไป แต่ในใจก็อดคิดมากมิได้

ไอ้สวะเย่จิ่งเย่านั่นจำนางได้จริงหรือ หรือเขาเพียงแค่เกิดความสงสัยเท่านั้น

หากครั้งหน้าเขามาตามรังควานอีก นางควรจะทำเช่นไร

ขณะที่กำลังคิดด้วยความเหม่อลอย นางไม่ทันระวังชนเข้ากับร่างของใครบางคน

จากนั้นหลี่เต๋อฝูก็หันมาใช้เสียงแหลมตำหนิว่า "เสี่ยวเสวียนจือ เจ้ามองทางอย่างไรกัน"

เย่จิ่งอวี้ยกมือขึ้นห้าม

"พวกเจ้าจงออกไปเถิด ข้ามีคำถามจะถามเสี่ยวเสวียนจือ"

"พ่ะย่ะค่ะ"

หลี่เต๋อฝูจ้องมองไปทางอินชิงเสวียน จากนั้นจึงพาขันทีทั้งหลายออกไปข้างนอก

ชั่วพริบตาเดียวในห้องทรงพระอักษรขนาดใหญ่โตนี้จึงเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน ทำให้บรรยากาศดูค่อนข้างกดดัน

เย่จิ่งอวี้สะบัดชายเสื้อคลุมมังกรแล้วนั่งลงบนโต๊ะ เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า "อันผิงอ๋องมาหาเจ้าด้วยเรื่องใด"

อินชิงเสวียนรีบคุกเข่าลงแล้วกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า "กระหม่อมกลับไปหาน้องสาวที่วังเย็น ปรากฏว่าระหว่างทางพบเข้ากับท่านอ๋องพอดี ท่านอ๋องยืนกรานจะลากกระหม่อมเข้าไปในพงหญ้า......”

เย่จิ่งอวี้เอนกายไปเล็กน้อย แววตาหรี่ลงอย่างเยือกเย็น เอ่ยถามว่า "เขาลากเจ้าไปทำอะไร"

อินชิงเสวียนแอบหยิกขาของตน นางดวงตาแดงเรื่อตอบว่า "กระหม่อมเองก็มิเคยพบท่านอ๋องมาก่อน และมิเคยทำให้ท่านอ๋องต้องขุ่นเคืองใจ จึงไม่ทราบว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงต้องลากกระหม่อมไปเช่นนั้น"

แววตาของเย่จิ่งอวี้กวาดมองไปยังใบหน้าน้อยๆ อันน่ามองของอินชิงเสวียน หรือเจ้าเย่จิ่งเย่าจะเห็นว่าขันทีคนนี้หน้าตาไม่เลวจึงเกิดความคิดชั่วร้าย

เมื่อคิดได้ดังนั้น ความโมโหก็พลุ่งพล่านเข้ามาในใจทันที เขากล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า "ตอนจากนี้ไปเจ้าจงติดตามอยู่ข้างกายข้า ข้าเองก็อยากจะเห็นนักว่ามันผู้ใดกล้าจะแตะต้องเจ้าอีก"

"พ่ะย่ะค่ะ"

อินชิงเสวียนตอบรับอย่างว่าง่าย

"ลุกขึ้นเถิด"

"ขอบพระทัยฝ่าบาท"

เย่จิ่งอวี้เหลือบมองไปเห็นรอยช้ำบนข้อมือของนาง น้ำเสียงดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย "เจ้ามิเป็นอะไรใช่หรือไม่"

อินชิงเสวียนสุดจมูกเข้า กล่าวว่า "กระหม่อมมิเป็นไรพ่ะย่ะค่ะ"

เมื่อเห็นดวงตาแดงเรื่อเล็กน้อยของอินชิงเสวียน หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็ค่อนข้างยุ่งเหยิง เขาหยิบหนังสือขึ้นแล้ววางมันลงอีกครั้ง

"ที่สวนอวิ๋นเซียงเป็นเช่นไรบ้าง"

อินชิงเสวียนก้มหน้าลงตอบว่า "ทูลฝ่าบาท เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นโตขึ้นได้ประมาณหนึ่งฝ่ามือแล้ว คาดว่าอีกประมาณมิเกินสองเดือนก็สามารถเก็บเกี่ยวได้"

"งั้นหรือ โตเร็วเช่นนี้เชียว" เย่จิ่งอวี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

อินชิงเสวียนรีบเอ่ยเอาใจเขา

"คาดว่าคงเป็นเพราะพระบารมีของฮ่องเต้ จึงทำให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว"

ประโยคนี้ทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกขบขันเขาหัวเราะออกมา "เจ้าแต่งเรื่องเก่งยิ่งนัก"

อินชิงเสวียนรีบกล่าวขึ้นว่า "กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น"

"เช่นนั้นข้าคงต้องเดินทางไปดูสักหน่อย เพื่อให้พวกมันเติบโตขึ้นเร็วกว่าเดิม"

อินชิงเสวียนอดมิได้จึงกล่าวออกมาว่า "บัดนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน อากาศร้อนยิ่งนัก ฝ่าบาทรอให้เย็นกว่านี้ก่อนค่อยไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้เดินไปถึงประตูแล้วจึงกล่าวเบาๆ ว่า "ประชาชนของข้าสามารถทำไร่ทำนาใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงได้ ข้าในฐานะผู้ปกครองพวกเขาและเป็นบุตรแห่งสวรรค์ จะเกรงกลัวอันใดกับเพียงแค่แสงอาทิตย์”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์