เมื่อได้ยินประโยคนี้อินชิงเสวียนก็ชะงักลง
หากมองจากมุมมองของฮ่องเต้ เย่จิ่งอวี้เป็นฮ่องเต้ที่ดีคนหนึ่ง
เขาใส่ใจประชาชนจริงๆ
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาในช่วงนี้ หากเขามิได้ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ก็ปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางทั้งหลายว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนดูดีกินดี ในใจของนางก็เกิดความชื่นชมนับถือ
แต่คนคนนี้กลับเย็นชาต่อภรรยาของตนยิ่งนัก ช่างน่าโกรธแค้นเหลือเกิน
หรือเย่จิ่งอวี้จะมิชอบสตรี
เมื่อนึกได้ดังนี้อินชิงเสวียนก็ขนลุกขนพอง
แม้ว่าในยุคปัจจุบัน นางจะเป็นสาววาย แต่นางก็มิอาจยอมรับกับเรื่องนี้ได้หากเกิดขึ้นกับตน
เมื่อจินตนาการถึงภาพของเย่จิ่งอวี้ที่กอดจูบลูบคลำผู้ชาย ภาพนั้นช่างร้อนแรงแสบตาเหลือเกิน
ด้านนอกประตู เย่จิ่งอวี้ได้ขึ้นเกี้ยวมังกรไปแล้ว
เมื่อก้าวออกไปด้านนอก อากาศก็ร้อนระอุ อุณหภูมิอย่างน้อยน่าจะอยู่ที่ 36 องศาเห็นจะได้
ในเวลานี้อินชิงเสวียนอยากจะกัดลิ้นของตัวเองเหลือเกิน เหตุใดจู่ๆ จึงได้รายงานว่าเมล็ดพันธุ์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่งเย็นๆ อยู่ในห้องทรงพระอักษรมิดีกว่าหรือ รนหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ
เมื่อมองไปยังเย่จิ่งอวี้ที่ร้อนเสียจนขมวดคิ้วเข้าหากัน ในที่สุดหัวใจนางก็สงบลง
หลังจากนั้นมินาน ทุกคนก็เดินทางมาถึงสวนอวิ๋นเซียง
ขันทีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งตากลมอยู่ใต้ต้นไม้ เมื่อเห็นฮ่องเต้เสด็จมาต่างพากันตกใจและคุกเข่าเรียงตัวกันเป็นระเบียบเรียบร้อย
"ถวายบังคมฝ่าบาท!"
"ลุกขึ้นเถิด"
เย่จิ่งอวี้เดินลงจากเกี้ยวมังกรแล้วตรงเข้าไปในสวน
เขามองไปยังต้นกล้าข้าวสาลีสีเขียวเป็นประกายแล้วอดมิได้ที่จะประหลาดใจ
เมล็ดพันธุ์ของฮว๋าเซี่ยนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็เติบสูงใหญ่ได้ขนาดนี้
เมืองหลวงของแคว้นต้าโจวอยู่ทางใต้ หากใช้เวลาเพียงไม่เกินสองเดือนก็สามารถเก็บเกี่ยว คาดว่าสามารถปลูกได้ถึงสองฤดูกาล เมื่อมันสามารถทำการเพาะปลูกในพระราชวังได้ นั่นหมายความว่าด้านนอกพระราชวังก็คงมิใช่ปัญหา
เมื่อคิดได้ดังนั้น เย่จิ่งอวี้ก็ผ่อนคลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเมื่อครู่ เขาหันกลับไปเอ่ยถามว่า "เสี่ยวเสวียนจือ เจ้ามีเมล็ดพันธุ์มากอีกเท่าไร"
อินชิงเสวียนตัวสั่นเล็กน้อยแล้วตอบว่า "กระหม่อมนำมามิมากนัก และบัดนี้ได้เอาออกมาใช้หมดแล้ว"
เย่จิ่งอวี้ถามต่อไปว่า "ที่บ้านของเจ้ายังมีอีกหรือไม่"
"ฮ่องเต้หมายความว่า......"
"หากเจ้ายังมีอีก ข้าจะสั่งให้คนไปบุกเบิกพื้นที่รกร้างชานเมืองหลวงแล้วขยายพันธุ์ให้มากขึ้น เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วค่อยเหลือเมล็ดพันธุ์เอาไว้ใช้ต่อไป เช่นนี้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาของประชาชนส่วนหนึ่งได้"
นางมองไปยังใบหน้าที่มีชีวิตชีวานี้ อินชิงเสวียนอดมิได้ที่จะสั่นคลอนเล็กน้อย
นางหวนนึกถึงความอดอยากในพื้นที่รกร้าง โรคระบาดที่เกิดขึ้นไปในทุกที่ ในใจก็รู้สึกหดหู่ ประชาชนสมัยโบราณนี้ใช้ชีวิตยากจริงๆ
ในเมื่อนางมีเมล็ดพันธุ์ก็ควรจะเอาออกมาช่วยเหลือ ถือเป็นการทำบุญ
นางจึงโค้งกายกล่าวว่า "ทูลฝ่าบาท ที่บ้านของกระหม่อมยังมีอยู่ หากฝ่าบาทอนุญาตให้กระหม่อมออกจากพระราชวังได้กระหม่อมจะกลับไปเอาบัดเดี๋ยวนี้"
เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้วอันใดรูปนั้นขึ้นเล็กน้อย
"เจ้าอยากจะออกจากวังเช่นนั้นเชียว"
มิออกจากว่างแล้วจะไปเอาเมล็ดพันธุ์จากที่ใด จู่ๆ จะให้เอาเมล็ดพันธุ์ออกมาจากฟ้างั้นหรือ หากนางทำเช่นนั้นจริงๆ คงจะถูกจับในฐานะปีศาจร้าย
อินชิงเสวียนคิดอยู่ในใจ แต่ปากกลับกล่าวออกมาด้วยความจริงจังว่า "กระหม่อมเองก็มิอยากจากฝ่าบาทไป แต่กระหม่อมเดินทางเข้าวังเพื่อรับใช้เจ้านาย จะให้นำเมล็ดพันธุ์ติดตัวมามากมายคงมิได้"
เย่จิ่งอวี้นิ่งเงียบครุ่นคิดแล้วตอบว่า "ช่างเถิด หากเจ้าสามารถนำเมล็ดพันธุ์กลับมาได้ ข้าจะให้เจ้าออกจากวังได้หนึ่งวัน พรุ่งนี้จงกลับมาในเวลาเที่ยง มิเช่นนั้นข้าจะเอาความน้องสาวเจ้า"
อินชิงเสวียนรู้ดีว่าเย่จิ่งอวี้คงไม่ปล่อยตนไปง่ายดาย ต้องมีกลอุบายเงื่อนไขอย่างแน่นอน
ช่างเถิด ได้ออกไปผ่อนคลายบ้างก็ดี ควรหาซื้อบ้านพักไว้สักหลังเอาไว้พักผ่อนในอนาคต
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมรับประกันว่าจะรีบกลับมาเที่ยงวันพรุ่งนี้"
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าตอบรับ "เสี่ยวอานจื่อ เจ้าจงติดตามเสี่ยวเสวียนจือไปด้วย"
"พ่ะย่ะค่ะ"
เสี่ยวอานจื่อยิ้มแป้นจนหน้าบาน เขาคอยติดตามเสี่ยวเสวียนจือเช่นนี้ มักมีแต่เรื่องดีจริงๆ
หลี่เต๋อฝูหยิบตราประทับที่เอวออกมาแล้วโยนไปให้เสี่ยวอานจื่ออย่างมิเต็มใจนัก
"พวกเจ้าสองคนอย่าได้มัวแต่เที่ยวเล่น จัดการธุระให้เรียบร้อยโดยเร็ว"
เย่จิ่งอวี้หันไปมองดูไร่ข้าวสาลี หันหลังให้พวกเขากล่าวว่า "ยังมิรีบไปรีบมา"
"พ่ะย่ะค่ะ"
อินชิงเสวียนดีใจรีบวิ่งออกจากสวนอวิ๋นเซียง เสี่ยวอานจื่อเข้ามาดึงนางเอาไว้ แล้วตะโกนเสียงแหลมว่า "ทางนี้!"
เย่จิ่งอวี้หันกลับไปมอง เห็นรอยยิ้มอันสว่างสดใสยิ่งกว่าแสงตะวันของอินชิงเสวียน เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขารู้สึกเสียใจกับการอนุญาตในครั้งนี้
แต่เมื่อคิดว่าอย่างไรเสียน้องเขาของเขาก็อยู่ในวังเย็น มิต้องเกรงว่าเขาจะไม่กลับมา
บัดนี้นางอวินที่อยู่ในวังเย็นได้ตายไปแล้ว เหลือไว้เพียงบ่าวรับใช้สองคน ในวังเย็นนั้นก็ไร้ความหมาย
รอให้อินชิงเสวียนกลับมาแล้วค่อยปล่อยพวกนางให้เป็นอิสระ จึงจะนับว่าเป็นรางวัลสำหรับบ่าวผู้นี้
เมื่อคิดได้ดังนั้น มุมปากได้รูปของเขาก็เผยอขึ้นเล็กน้อย กล่าวกับหลี่เต๋อฝูว่า "กลับเถิด"
"พ่ะย่ะค่ะ"
หลี่เต๋อฝูตอบรับ แต่ในใจของเขายังมัวแต่คิดถึงเรื่องของอินชิงเสวียนและเย่จิ่งเย่า
เจ้าเสี่ยวเสวียนจือคนนี้ เป็นนายที่อยู่ในวังเย็นจริงหรือ
หลายวันมานี้เขาได้แต่ครุ่นคิดและอยากเอ่ยออกมาถาม แต่เมื่อเห็นฮ่องเต้โปรดปรานเสี่ยวเสวียนจือคนนี้ยิ่งนัก สิ่งที่กำลังจะเอ่ยออกจากปากจึงได้กลืนลงคอไปเสียทุกครั้ง
หลายวันมานี้ฮ่องเต้อารมณ์ดีเหลือเกิน เขามิอยากทำให้ฮ่องเต้ต้องเศร้าหมองเพราะถูกขัดใจ
เพียงแค่คอยจับตาดูเสี่ยวเสวียนจือเอาไว้ มิให้มีความคิดชั่วร้ายก็พอ เขาจะเป็นใครก็เรื่องของเขา เพียงทำให้ฮ่องเต้มีความสุขได้ก็พอแล้ว
บัดนี้อินชิงเสวียนและเสี่ยวอานจื่อได้เดินมาถึงประตูจิ้งอาน
เสี่ยวอานจื่อยกป้ายประทับขึ้นแล้วกล่าวกับยามเฝ้าประตูด้วยความเย่อหยิ่งภาคภูมิใจ "ข้าคือเสี่ยวอานจื่อแห่งตำหนักเฉิงเทียน ได้รับคำบัญชาจากฮ่องเต้ให้เดินทางออกจากวังเพื่อทำธุระ จงรีบเปิดประตู”
ทันทีที่ผู้เฝ้าประตูได้ยินว่าเป็นกงกงมาจากตำหนักเฉิงเทียน ก็รีบเข้าไปคารวะและตรวจสอบดูป้ายคาดเอวก่อนจะรีบเปิดประตูออก
อินชิงเสวียนคิดมิถึงว่าจะออกมาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ นางกำมือด้วยความตื่นเต้น
หากว่านางติดตามอยู่ข้างกายเย่จิ่งอวี้แล้วสร้างชื่อเสียงได้ ก็จะสามารถพาเจ้าหมาน้อยออกจากวังได้เช่นกัน
จากนั้นก็เอ่ยถามว่า "เสี่ยวอานจื่อ เจ้ามีชื่อเสียงในวังนี้หรือ"
เสี่ยวอานจื่อยิ้มแหะๆ แล้วกล่าวว่า "แม้ข้าจะมิได้มีชื่อเสียงอันใด แต่ท่านอาจารย์ของข้ามีชื่อเสียงยิ่งนัก เขาคอยรับใช้ฮ่องเต้มาตั้งแต่เล็ก ในวันนี้มิมีใครที่จะไม่รู้จักเขา เมื่อมีป้ายคาดเอวของเขา พวกเราจะเดินทางไปไหนมาไหนก็ได้อย่างราบรื่น"
“อ๋อ เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
ดูเหมือนป้ายคาดเอวของหลี่เต๋อฝูจะใช้งานได้ดีนัก
เพียงแต่ตาเฒ่าคนนี้ซื้อใจได้ยากเหลือเกิน คงต้องลงมือขโมยแล้ว
เมื่อมีเป้าหมาย ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปไม่น้อย
อินชิงเสวียนเผยอยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างมีเลศนัย
เสี่ยวอานจื่อรีบดึงมือของเขา "รีบไปกันเถิด จัดการธุระให้เสร็จ อย่าได้เสียเวลาและกลับไปเลยเที่ยงวัน"
"ฮ่องเต้ให้พวกเรากลับไปก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้ เจ้าจะรีบร้อนไปทำไม มิใช่เรื่องง่ายกว่าจะได้ออกจากพระราชวัง เจ้าจะมิเพลิดเพลินกับมันสักหน่อยหรือ"
อินชิงเสวียนยื่นมือออกไปตบบ่าของเขาแล้วเผยรอยยิ้มที่เข้าใจโดยมิต้องเอ่ย
หางตาของเสี่ยวอานจื่อก้มลงมองพื้น "ข้ามิได้มีเงินติดตัวมาสักน้อย จะหาความสุขใดได้"
อินชิงเสวียนหยิบตั๋วเงินจำนวน 100 ตำลึงออกมาแล้วยัดใส่มือเสียวอานจื่อ
"เจ้าจงไปหาโรงเตี๊ยมอาศัย กลางคืนออกมากินข้าวท่องเที่ยวกัน ข้าจะกลับไปเอาเมล็ดพันธุ์สักหน่อย แล้วกลับดูว่าลูกและแม่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง พรุ่งนี้เช้าเรามาเจอกันที่โรงเตี๊ยม”
เสี่ยวอานจื่อดูซาบซึ้งใจ
"เอ่อ......เช่นนี้จะดีหรือ"
อินชิงเสวียนกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าอันภาคภูมิใจว่า "มิมีอะไรไม่ดีนี่สหาย เราควรต้องเชื่อใจกัน เจ้าฟังที่ข้าบอกเถอะนะ"
นางยังมีเรื่องต้องทำ จะให้เสี่ยวอานจื่อติดตามไปตลอดมิได้ ดังนั้นจึงต้องใช้เงินเพื่อซื้อความสบายใจ
ใบหน้าของเสี่ยวอานจื่อซาบซึ้งแล้วเข้าไปกอดแขนอินชิงเสวียนไว้
"เสี่ยวเสวียนจือ เจ้าดีต่อข้ามากเหลือเกิน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
จะว่าเพื่อนรึก็ท่าทีแปลกๆ...
สืบไม่ได้เรื่องอีก นางเอกเห็นแล้ว เซ็งเลย จริงๆ อยากให้พระเอกสืบรู้ หลังจากนั้นก็ใช้สมองคอยจับไต๋และกลั่นแกล้งยัยน้อง น่าจะสนุกไปอีก...
รอเต้รู้ว่าขันทีน้อยคือเมียตวเองที่แสร้งตายแถมยังมีลูกชายอีกแล้วแอบเก็บงำไว้จับไต๋ยัยน้อง คงจะยิ่งสนก...
นางเอกช่างเป็นแม่ที่ไม่ปลอบโยนลูกเลยจริงๆ555...
ไม่สะกดรอยขันทีน้ยนี้ไปสักครั้งหน่อยหรือ...