สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 54

เมื่อได้ยินประโยคนี้อินชิงเสวียนก็ชะงักลง

หากมองจากมุมมองของฮ่องเต้ เย่จิ่งอวี้เป็นฮ่องเต้ที่ดีคนหนึ่ง

เขาใส่ใจประชาชนจริงๆ

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาในช่วงนี้ หากเขามิได้ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ก็ปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางทั้งหลายว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนดูดีกินดี ในใจของนางก็เกิดความชื่นชมนับถือ

แต่คนคนนี้กลับเย็นชาต่อภรรยาของตนยิ่งนัก ช่างน่าโกรธแค้นเหลือเกิน

หรือเย่จิ่งอวี้จะมิชอบสตรี

เมื่อนึกได้ดังนี้อินชิงเสวียนก็ขนลุกขนพอง

แม้ว่าในยุคปัจจุบัน นางจะเป็นสาววาย แต่นางก็มิอาจยอมรับกับเรื่องนี้ได้หากเกิดขึ้นกับตน

เมื่อจินตนาการถึงภาพของเย่จิ่งอวี้ที่กอดจูบลูบคลำผู้ชาย ภาพนั้นช่างร้อนแรงแสบตาเหลือเกิน

ด้านนอกประตู เย่จิ่งอวี้ได้ขึ้นเกี้ยวมังกรไปแล้ว

เมื่อก้าวออกไปด้านนอก อากาศก็ร้อนระอุ อุณหภูมิอย่างน้อยน่าจะอยู่ที่ 36 องศาเห็นจะได้

ในเวลานี้อินชิงเสวียนอยากจะกัดลิ้นของตัวเองเหลือเกิน เหตุใดจู่ๆ จึงได้รายงานว่าเมล็ดพันธุ์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่งเย็นๆ อยู่ในห้องทรงพระอักษรมิดีกว่าหรือ รนหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ

เมื่อมองไปยังเย่จิ่งอวี้ที่ร้อนเสียจนขมวดคิ้วเข้าหากัน ในที่สุดหัวใจนางก็สงบลง

หลังจากนั้นมินาน ทุกคนก็เดินทางมาถึงสวนอวิ๋นเซียง

ขันทีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งตากลมอยู่ใต้ต้นไม้ เมื่อเห็นฮ่องเต้เสด็จมาต่างพากันตกใจและคุกเข่าเรียงตัวกันเป็นระเบียบเรียบร้อย

"ถวายบังคมฝ่าบาท!"

"ลุกขึ้นเถิด"

เย่จิ่งอวี้เดินลงจากเกี้ยวมังกรแล้วตรงเข้าไปในสวน

เขามองไปยังต้นกล้าข้าวสาลีสีเขียวเป็นประกายแล้วอดมิได้ที่จะประหลาดใจ

เมล็ดพันธุ์ของฮว๋าเซี่ยนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็เติบสูงใหญ่ได้ขนาดนี้

เมืองหลวงของแคว้นต้าโจวอยู่ทางใต้ หากใช้เวลาเพียงไม่เกินสองเดือนก็สามารถเก็บเกี่ยว คาดว่าสามารถปลูกได้ถึงสองฤดูกาล เมื่อมันสามารถทำการเพาะปลูกในพระราชวังได้ นั่นหมายความว่าด้านนอกพระราชวังก็คงมิใช่ปัญหา

เมื่อคิดได้ดังนั้น เย่จิ่งอวี้ก็ผ่อนคลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเมื่อครู่ เขาหันกลับไปเอ่ยถามว่า "เสี่ยวเสวียนจือ เจ้ามีเมล็ดพันธุ์มากอีกเท่าไร"

อินชิงเสวียนตัวสั่นเล็กน้อยแล้วตอบว่า "กระหม่อมนำมามิมากนัก และบัดนี้ได้เอาออกมาใช้หมดแล้ว"

เย่จิ่งอวี้ถามต่อไปว่า "ที่บ้านของเจ้ายังมีอีกหรือไม่"

"ฮ่องเต้หมายความว่า......"

"หากเจ้ายังมีอีก ข้าจะสั่งให้คนไปบุกเบิกพื้นที่รกร้างชานเมืองหลวงแล้วขยายพันธุ์ให้มากขึ้น เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วค่อยเหลือเมล็ดพันธุ์เอาไว้ใช้ต่อไป เช่นนี้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาของประชาชนส่วนหนึ่งได้"

นางมองไปยังใบหน้าที่มีชีวิตชีวานี้ อินชิงเสวียนอดมิได้ที่จะสั่นคลอนเล็กน้อย

นางหวนนึกถึงความอดอยากในพื้นที่รกร้าง โรคระบาดที่เกิดขึ้นไปในทุกที่ ในใจก็รู้สึกหดหู่ ประชาชนสมัยโบราณนี้ใช้ชีวิตยากจริงๆ

ในเมื่อนางมีเมล็ดพันธุ์ก็ควรจะเอาออกมาช่วยเหลือ ถือเป็นการทำบุญ

นางจึงโค้งกายกล่าวว่า "ทูลฝ่าบาท ที่บ้านของกระหม่อมยังมีอยู่ หากฝ่าบาทอนุญาตให้กระหม่อมออกจากพระราชวังได้กระหม่อมจะกลับไปเอาบัดเดี๋ยวนี้"

เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้วอันใดรูปนั้นขึ้นเล็กน้อย

"เจ้าอยากจะออกจากวังเช่นนั้นเชียว"

มิออกจากว่างแล้วจะไปเอาเมล็ดพันธุ์จากที่ใด จู่ๆ จะให้เอาเมล็ดพันธุ์ออกมาจากฟ้างั้นหรือ หากนางทำเช่นนั้นจริงๆ คงจะถูกจับในฐานะปีศาจร้าย

อินชิงเสวียนคิดอยู่ในใจ แต่ปากกลับกล่าวออกมาด้วยความจริงจังว่า "กระหม่อมเองก็มิอยากจากฝ่าบาทไป แต่กระหม่อมเดินทางเข้าวังเพื่อรับใช้เจ้านาย จะให้นำเมล็ดพันธุ์ติดตัวมามากมายคงมิได้"

เย่จิ่งอวี้นิ่งเงียบครุ่นคิดแล้วตอบว่า "ช่างเถิด หากเจ้าสามารถนำเมล็ดพันธุ์กลับมาได้ ข้าจะให้เจ้าออกจากวังได้หนึ่งวัน พรุ่งนี้จงกลับมาในเวลาเที่ยง มิเช่นนั้นข้าจะเอาความน้องสาวเจ้า"

อินชิงเสวียนรู้ดีว่าเย่จิ่งอวี้คงไม่ปล่อยตนไปง่ายดาย ต้องมีกลอุบายเงื่อนไขอย่างแน่นอน

ช่างเถิด ได้ออกไปผ่อนคลายบ้างก็ดี ควรหาซื้อบ้านพักไว้สักหลังเอาไว้พักผ่อนในอนาคต

"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมรับประกันว่าจะรีบกลับมาเที่ยงวันพรุ่งนี้"

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าตอบรับ "เสี่ยวอานจื่อ เจ้าจงติดตามเสี่ยวเสวียนจือไปด้วย"

"พ่ะย่ะค่ะ"

เสี่ยวอานจื่อยิ้มแป้นจนหน้าบาน เขาคอยติดตามเสี่ยวเสวียนจือเช่นนี้ มักมีแต่เรื่องดีจริงๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์