อินชิงเสวียนรู้สึกขนลุกคนพองขึ้นมาทันทีแล้วรีบดึงเสี่ยวอานจื่อไปด้านข้าง
"เจ้าเสมือนพี่น้องของข้า มิต้องเกรงใจไปหรอก"
"ข้าเข้าใจแล้ว" เสี่ยวอานจื่อตอบรับ ยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงหู
ทั้งสองคนเดินทางมายังถนนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในย่านเมืองหลวง อินชิงเสวียนส่งเสี่ยวอานจื่อเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ค่อนข้างหรูหรา จัดแจงให้เสี่ยวอานจื่อเข้าพัก จากนั้นกำชับให้เขากินดื่มได้ตามใจชอบ มิต้องเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะเดินทางจากไปเพียงลำพัง
อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่บนถนนทอดยาวซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
หากนางฉวยโอกาสนี้หนีหรือไปซ่อนที่ใดสักแห่ง คาดว่าเย่จิ่งอวี้คงตามตัวนางไม่พบ
เนื่องจากในสมัยโบราณนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด
แต่เมื่อนึกถึงอวิ๋นฉ่ายและยายหลี่ที่อยู่ในวังเย็น ความตื่นเต้นเมื่อครู่และความคิดหุนหันพลันแล่นนั้นก็สงบลง
อินชิงเสวียนสัญญากับเจ้าของร่างเดิมเอาไว้ว่าจะปกป้องลูกของนาง และดูแลอวิ๋นฉ่ายกับยายหลี่ ต้องพาพวกนางออกมาจาก พระราชวังหลวงแล้วใช้ชีวิตอย่างอิสระให้ได้
ตั้งแต่เล็กจนโต คุณย่าสอนนางให้เป็นคนมีคุณธรรม สิ่งใดที่ให้สัญญากับผู้อื่นไว้ต้องทำให้ได้ตามสัญญา ดังนั้นนางจะไม่หนีไปไหนอย่างแน่นอน
บัดนี้นางต้องหาซื้อบ้านก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยพาเสี่ยวอานจื่อมาเก็บเมล็ดพันธุ์ เผื่อว่าเย่จิ่งอวี้ถามถึงจะได้ไม่ต้องอธิบายยาก
อินชิงเสวียนมองไปยังบนท้องถนนและได้พบกับผู้ประกาศขายบ้านเข้าคนหนึ่ง
เจ้าของบ้านเป็นหญิงชราอายุประมาณ 60 ปี สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น มีแต่แผ่นปะเต็มทั่วร่าง นางพาหลานชายอายุประมาณ 5-6 ขวบสองคนและ 8-9 ขวบหนึ่งคนมาด้วย
เด็กทั้งหลายพากันเบียดเสียดอยู่ด้านหญิงชรา แววตาดวงน้อยดำขลับจ้องมาทางอินชิงเสวียนด้วยความอยากรู้อยากเห็นและประหม่าเล็กน้อย
หญิงชรามองมาทางอินชิงเสวียนด้วยแววตาอันชื่นชม รู้สึกว่าใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้ช่างหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา แม้แต่สตรีเองก็ยังอาย
อินชิงเสวียนถูกมองจนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางจึงกระแอมออกมาว่า
"บ้านของท่านใหญ่เท่าไร"
หญิงชรายิ้มแล้วตอบว่า "มีทั้งสิ้น 4 ห้อง เนื่องจากที่บ้านมิมีใครทำงานได้เลย จึงคิดอยากจะขายสักสองห้อง"
อินชิงเสวียนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า "แล้วลูกของท่านเล่า"
หญิงชราดวงตาแดงเรื่อ กล่าวสะอึกสะอื้นว่า "เดิมทีข้ามีลูกชายอยู่คนหนึ่ง เมื่อครึ่งปีก่อนเดินทางออกไปร่วมทัพที่แคว้นเจียงวูและเสียชีวิตในสงคราม ลูกสะใภ้ข้าได้ยินข่าวนี้เข้าจึงล้มป่วย มินานก็จากไปเช่นกัน"
เมื่อเห็นหญิงชราน้ำตานองหน้า ในใจของอินชิงเสวียนก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงย่าของตน
จากนั้นจึงรีบกล่าวว่า “ท่านอย่าได้ร้องไห้ไปเลย ห้องนี้ขายราคาเท่าไร”
หญิงชราเช็ดน้ำตาด้วยแววตาอันฝ้าฟางแล้วกล่าวว่า "50 ตำลึงก็พอ”
อินชิงเสวียนพยักหน้า ไม่นับว่าแพงนัก ที่สำคัญคือสมาชิกที่อยู่ในบ้านหลังนี้ตรงตามที่นางต้องการ มีทั้งแม่ที่แก่เฒ่าและมีเด็กๆ ที่รอรับการเลี้ยงดู เมื่อคิดถึงเย่จิ่งอวี้ที่ชอบจู้จี้จุกจิก อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะเผยอมุมปากขึ้นยิ้ม
"ข้ารบกวนท่านพาไปดูบ้านได้หรือไม่”
หญิงชรา รีบพยักหน้าตอบ
"มิมีปัญหา"
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง อินชิงเสวียนก็เดินตามหญิงชรามาที่ชานเมืองหลวง นางเห็นบ้านที่กว้างขวางและทรุดโทรมหลังหนึ่ง ด้านในมีทั้งหมด 4 ห้อง
หญิงชราพาอินชิงเสวียนเดินไปยังสองห้องทางทิศตะวันตก แล้วกล่าวด้วยใบหน้าอันเขินอายว่า "หลังจากที่ลูกชายของข้าตายไปก็มิมีผุ้ใดดูแลบ้าน บ้านนั้นอาจจะพังไปหน่อยแต่สามารถอยู่ได้ หากเจ้าชอบมันละก็ข้าจะทำความสะอาดเก็บกวาดให้"
อินชิงเสวียนเดินเข้าไปดูด้านใน แม้ว่าภายในห้องจะชำรุดทรุดโทรมไปบ้าง แต่เมื่อเช็ดก็จะสะอาดขึ้นได้ ดีกว่าโต๊ะเก้าอี้ที่ขาหักในวังเย็นตั้งมากมาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...