สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 55

อินชิงเสวียนรู้สึกขนลุกคนพองขึ้นมาทันทีแล้วรีบดึงเสี่ยวอานจื่อไปด้านข้าง

"เจ้าเสมือนพี่น้องของข้า มิต้องเกรงใจไปหรอก"

"ข้าเข้าใจแล้ว" เสี่ยวอานจื่อตอบรับ ยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงหู

ทั้งสองคนเดินทางมายังถนนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในย่านเมืองหลวง อินชิงเสวียนส่งเสี่ยวอานจื่อเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ค่อนข้างหรูหรา จัดแจงให้เสี่ยวอานจื่อเข้าพัก จากนั้นกำชับให้เขากินดื่มได้ตามใจชอบ มิต้องเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะเดินทางจากไปเพียงลำพัง

อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่บนถนนทอดยาวซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

หากนางฉวยโอกาสนี้หนีหรือไปซ่อนที่ใดสักแห่ง คาดว่าเย่จิ่งอวี้คงตามตัวนางไม่พบ

เนื่องจากในสมัยโบราณนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด

แต่เมื่อนึกถึงอวิ๋นฉ่ายและยายหลี่ที่อยู่ในวังเย็น ความตื่นเต้นเมื่อครู่และความคิดหุนหันพลันแล่นนั้นก็สงบลง

อินชิงเสวียนสัญญากับเจ้าของร่างเดิมเอาไว้ว่าจะปกป้องลูกของนาง และดูแลอวิ๋นฉ่ายกับยายหลี่ ต้องพาพวกนางออกมาจาก พระราชวังหลวงแล้วใช้ชีวิตอย่างอิสระให้ได้

ตั้งแต่เล็กจนโต คุณย่าสอนนางให้เป็นคนมีคุณธรรม สิ่งใดที่ให้สัญญากับผู้อื่นไว้ต้องทำให้ได้ตามสัญญา ดังนั้นนางจะไม่หนีไปไหนอย่างแน่นอน

บัดนี้นางต้องหาซื้อบ้านก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยพาเสี่ยวอานจื่อมาเก็บเมล็ดพันธุ์ เผื่อว่าเย่จิ่งอวี้ถามถึงจะได้ไม่ต้องอธิบายยาก

อินชิงเสวียนมองไปยังบนท้องถนนและได้พบกับผู้ประกาศขายบ้านเข้าคนหนึ่ง

เจ้าของบ้านเป็นหญิงชราอายุประมาณ 60 ปี สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น มีแต่แผ่นปะเต็มทั่วร่าง นางพาหลานชายอายุประมาณ 5-6 ขวบสองคนและ 8-9 ขวบหนึ่งคนมาด้วย

เด็กทั้งหลายพากันเบียดเสียดอยู่ด้านหญิงชรา แววตาดวงน้อยดำขลับจ้องมาทางอินชิงเสวียนด้วยความอยากรู้อยากเห็นและประหม่าเล็กน้อย

หญิงชรามองมาทางอินชิงเสวียนด้วยแววตาอันชื่นชม รู้สึกว่าใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้ช่างหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา แม้แต่สตรีเองก็ยังอาย

อินชิงเสวียนถูกมองจนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางจึงกระแอมออกมาว่า

"บ้านของท่านใหญ่เท่าไร"

หญิงชรายิ้มแล้วตอบว่า "มีทั้งสิ้น 4 ห้อง เนื่องจากที่บ้านมิมีใครทำงานได้เลย จึงคิดอยากจะขายสักสองห้อง"

อินชิงเสวียนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า "แล้วลูกของท่านเล่า"

หญิงชราดวงตาแดงเรื่อ กล่าวสะอึกสะอื้นว่า "เดิมทีข้ามีลูกชายอยู่คนหนึ่ง เมื่อครึ่งปีก่อนเดินทางออกไปร่วมทัพที่แคว้นเจียงวูและเสียชีวิตในสงคราม ลูกสะใภ้ข้าได้ยินข่าวนี้เข้าจึงล้มป่วย มินานก็จากไปเช่นกัน"

เมื่อเห็นหญิงชราน้ำตานองหน้า ในใจของอินชิงเสวียนก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงย่าของตน

จากนั้นจึงรีบกล่าวว่า “ท่านอย่าได้ร้องไห้ไปเลย ห้องนี้ขายราคาเท่าไร”

หญิงชราเช็ดน้ำตาด้วยแววตาอันฝ้าฟางแล้วกล่าวว่า "50 ตำลึงก็พอ”

อินชิงเสวียนพยักหน้า ไม่นับว่าแพงนัก ที่สำคัญคือสมาชิกที่อยู่ในบ้านหลังนี้ตรงตามที่นางต้องการ มีทั้งแม่ที่แก่เฒ่าและมีเด็กๆ ที่รอรับการเลี้ยงดู เมื่อคิดถึงเย่จิ่งอวี้ที่ชอบจู้จี้จุกจิก อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะเผยอมุมปากขึ้นยิ้ม

"ข้ารบกวนท่านพาไปดูบ้านได้หรือไม่”

หญิงชรา รีบพยักหน้าตอบ

"มิมีปัญหา"

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง อินชิงเสวียนก็เดินตามหญิงชรามาที่ชานเมืองหลวง นางเห็นบ้านที่กว้างขวางและทรุดโทรมหลังหนึ่ง ด้านในมีทั้งหมด 4 ห้อง

หญิงชราพาอินชิงเสวียนเดินไปยังสองห้องทางทิศตะวันตก แล้วกล่าวด้วยใบหน้าอันเขินอายว่า "หลังจากที่ลูกชายของข้าตายไปก็มิมีผุ้ใดดูแลบ้าน บ้านนั้นอาจจะพังไปหน่อยแต่สามารถอยู่ได้ หากเจ้าชอบมันละก็ข้าจะทำความสะอาดเก็บกวาดให้"

อินชิงเสวียนเดินเข้าไปดูด้านใน แม้ว่าภายในห้องจะชำรุดทรุดโทรมไปบ้าง แต่เมื่อเช็ดก็จะสะอาดขึ้นได้ ดีกว่าโต๊ะเก้าอี้ที่ขาหักในวังเย็นตั้งมากมาย

"พออยู่ได้ ไม่ต้องเก็บกวาดหรอก"

อินชิงเสวียนกล่าวจบก็หยิบตั๋วเงิน 100 ตำลึงออกมาจากกระเป๋า

"ท่านยาย บ้านหลังนี้ข้าขอซื้อมันเอาไว้ แต่อาจจะยังไม่มาอยู่ในช่วงนี้ ท่านช่วยดูแลให้ข้าก็พอ"

เมื่อเห็นตัวเงินมากขนาดนี้ หญิงชราก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย

“ข้า ข้าไม่มีเงินทอนให้เจ้า"

"อินชิงเสวียนยิ้มแล้วกล่าวว่า "ไม่ต้องทอนเงินให้ข้าหรอก อีก 50 ตำลึงนั้นถือว่าข้าให้เป็นค่าลำบากที่ต้องดูแลความสะอาดบ้านให้ ข้าอาจจะวางของไว้ตรงนี้สักหน่อย จะมาเอาเมื่อไรยังมิแน่ชัด ท่านอย่าให้ใครเข้ามาเป็นพอ"

เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนใจกว้างเพียงนี้ หญิงชราก็กล่าวขึ้นด้วยความซาบซึ้งใจ "วางใจเถิด มิว่าเจ้าจะวางสิ่งใดไว้ที่นี่ มันจะไม่หายไปอย่างแน่นอน"

อินชิงเสวียนพยักหน้าตอบรับด้วยความสบายใจ แววตามองไปยังหญิงชราและเด็กๆ ที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะกล่าวว่า "หากมีใครถามว่าข้าเป็นอะไรกันพวกท่าน จงบอกว่าข้าเป็นลูกของท่าน และเด็กๆ เหล่านี้คือลูกของข้า อ้อจริงสิ ท่านนามว่าอะไร"

หญิงชราชะงักลงเล็กน้อยกล่าวว่า “ข้าแซ่หลิว"

"เช่นนั้นจงเรียกข้าว่าหลิวเสวียน ท่านจำไว้ให้ดีเล่า"

"เอาล่ะ ข้าจำได้แล้ว"

เขาให้เงินนางมากมายเช่นนี้ อย่าว่าแต่ให้เป็นบุตรชายเลย ต่อให้อินชิงเสวียนบอกว่านางเป็นบรรพบุรุษของตน นางก็ยอมรับได้

"เช่นนั้นก็ดี"

อินชิงเสวียนเดินมองไปรอบๆ พบว่าลานบ้านนี้ค่อนข้างกว้างขวาง ก่อนหน้านี้เหมือนจะเคยปลูกอะไรเอาไว้ แต่บัดนี้เต็มไปด้วยวัชพืช

นางจึงเอ่ยถามขึ้นว่า "เหตุใดลานบ้านนี้จึงรกร้าง"

หลิวเหล่าไท่ไท่กล่าวขึ้นด้วยความอนิจจา "นับตั้งแต่บุตรชายจากไป ข้าก็มิมีกระจิตกระใจปลูกผักหรือสิ่งใดอีก ต่อมาเมื่อคิดจะปลูก เมล็ดพันธุ์ทั้งหลายก็ตายแห้งหมดแล้ว ที่บ้านเงินจะซื้อข้าวสารกรอกหม้อก็ยังแทบไม่มี แล้วจะเอาเงินที่ใดซื้อเมล็ดพันธุ์ ดังนั้นจึงได้รกร้างเช่นนี้"

“น่าเสียดายยิ่งนัก อีกประเดี๋ยวข้าจะซื้อเมล็ดพันธุ์มาให้ มีทั้งผักและผลไม้ ต่อจากนี้ท่านปลูกเอาไว้กินเอง และสามารถนำไปขายได้ด้วย"

เมื่อได้ยินคำพูดของอินชิงเสวียน หญิงชราก็รู้สึกซาบซึ้งใจ นางได้พบกับผู้มีพระคุณเข้าให้แล้ว จึงได้สั่งให้เด็กๆ รีบมาคารวะเป็นการขอบคุณ

"เจ้าจงรีบมาขอใจขอบพระคุณพ่อของพวกเจ้าเร็ว"

เด็กๆ ทั้งหลาย ก้มศีรษะคารวะและต่างตะโกนพร้อมกันเป็นเสียงเดียวว่า “ขอบคุณท่านพ่อ"

อินชิงเสวียนถูกเรียกว่าพ่อจนตกตะลึง

หลังจากชะงักลงไปชั่วครู่จึงได้เข้าใจ คาดว่าหญิงชราคงต้องการเล่นไปตามน้ำ ดังนั้นนางจึงใช้เสียงที่ดูต่ำทุ้มกล่าวว่า "มิต้องเกรงใจหรอก จงลุกขึ้นเถิด อีกประเดี๋ยวพ่อจะซื้อของอร่อยๆ มาให้ บัดนี้พ่อจะพักผ่อนสักหน่อย พวกเจ้าออกไปเที่ยวเล่นก่อนเถิด!"

“ไปกันเถิด เราออกไปเล่นกัน"

หญิงชรารู้หน้าที่ของตนแล้วพาเด็กๆ ออกไปทันที

เมื่ออินชิงเสวียนปิดประตูลงแล้ว นางจึงได้เข้าไปในมิติ หยิบช็อกโกแลตกล่องหนึ่งออกมาแกะกล่องบรรจุภัณฑ์ออก ถึงอย่างไรเสียเด็กๆ ก็เรียกนางว่าพ่อ ควรจะมีของขวัญให้แก่พวกเขาสักหน่อย

จากนั้นนางก็ใช้ 10 คะแนนในการแลกเมล็ดข้าวสาลีแล้วห่อด้วยกระดาษหนังวัว เมื่อมองไปยังกองเมล็ดพันธุ์เท่าภูเขาน้อยๆ อินชิงเสวียนก็ยิ้มขึ้นด้วยความพึงพอใจ จากนั้นขนแป้งกับข้าวออกมา

หลังจากยุ่งอยู่สักพัก ร่างกายของนางก็เริ่มมีเหงื่อออก อินชิงเสวียนใช้น้ำพุวิญญาณอาบน้ำจนหอมกรุ่น เมื่อออกมาก็ฟ้ามืดแล้ว

นางพบว่าหลิวเหล่าไท่ไท่จุดไฟกำลังจะทำอาหาร อินชิงเสวียนจึงถือถุงแป้งและข้าวสารมาอย่างละถุงใหญ่ รวมทั้งมะเขือ พริกและมะเขือเทศอีกเล็กน้อย

"นี่คือแป้งและข้าวสารที่ลูกพี่ลูกน้องของข้าน้ำกลับมาจากฮว๋าเซี่ย เหล่านี้เป็นผัก พวกเจ้าจงเอาไปกินเถิด"

หลิวเหล่าไท่ไท่มิเคยได้ยินชื่อฮว๋าเซี่ยมาก่อน และยิ่งไม่เคยเห็นแป้ง ข้าวกับผักเหล่านี้ นางรู้สึกสงสัยเล็กน้อย พ่อหนุ่มคนนี้ตอนเดินทางมาก็มามือเปล่า แล้วไปเอาสิ่งของเหล่านี้มาจากที่ใด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์