ณ ด่านถงกู่
หลังจากพักผ่อนมาทั้งคืน เหล่าทหารก็ฟื้นกำลังวังชาได้พอควรแล้ว
ในตอนเช้าตรู่ อินจ้งขึ้นไปที่ด่าน โดยที่ถือของแปลกๆ ไว้ในมือ
โหวเหนือติดตามอินจ้งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ท่านแม่ทัพ นี่คือสิ่งใด”
อินจ้งหัวเราะเบาๆ “นี่เรียกว่ากล้องส่องทางไกล มันเป็นสมบัติหายากที่ลูกสาวของข้ารวบรวมได้มาจากชาวบ้าน สามารถมองเห็นได้ไกล แม้ในความมืดก็มองเห็นได้ชัดเจน”
อินชิงเสวียนได้ฝากคนส่งของสิ่งนี้กลับมายังจวนตระกูลอิน ซึ่งมีประสิทธิภาพอย่างมาก เมื่อมีสิ่งนี้ ก็สามารถสังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้ชัดขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่โหวเหนือได้เห็นสิ่งนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะอยากลอง
เมื่อเห็นดังนี้ อินจ้งก็ส่งกล้องส่องทางไกลให้เขา โหวเหนือก็มองไปในระยะไกล แล้วก็ต้องรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
“นึกไม่ถึงว่าโลกนี้จะมีสิ่งที่ชาญฉลาดเช่นนี้ มองสถานที่ไกลๆ ก็เหมือนว่าอยู่ใกล้”
อินจ้งยิ้ม แล้วรับกล้องส่องทางไกลกลับคืน
“เหล่าทหารก็พักผ่อนมาทั้งคืนแล้ว ข้าเตรียมที่จะนำทหารออกรบในคืนนี้ ไม่ทราบว่าท่านโหวคิดว่าอย่างไร”
โหวเหนือกลอกตาล่อกแล่ก พูดอย่างช่วยไม่ได้ “ทหารม้าที่ท่านแม่ทัพนำขบวนมาก็สามารถออกไปได้ แต่พวกพ้องห้าพันคนของข้าถูกกองทัพของเจียงวูทรมานจนตาย บ้างก็หมดแรง เกินความสามารถจริงๆ”
อินจ้งเหลือบมองเขาแล้วถามอย่างเรียบๆ “มีทหารที่รักษาเมืองอีกเท่าใดที่สามารถออกรบได้”
“เอ่อ...”
โหวเหนือลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “แม้ว่าข้าจะถูกส่งไปยังด่านถงกู่ แต่สามารถควบคุมได้เพียงพวกพ้องของตัวเองเท่านั้น ส่วนจะสามารถส่งทหารไปรบได้เท่าใดนั้น ต้องถามเหล่าแม่ทัพพิทักษ์เมือง”
อินจ้งร้องอ๋อเป็นเชิงรับรู้
“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนท่านโหวส่งคนไปตามแม่ทัพทั้งหลายมาที่ด่าน จะได้หารือเกี่ยวกับการส่งกองกำลังทหาร”
โหวเหนือโบกมือให้ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังเขาทันที
“รีบเชิญแม่ทัพทั้งหลายมาที่ด่านเร็วเข้า”
หลังจากนั้นไม่นาน แม่ทัพห้าหกคนก็เดินขึ้นบันไดมา
เมื่อคืนคนเหล่านี้ดื่มสุราจนเมามาย ตอนนี้ยังไม่สร่างเมาดีด้วยซ้ำ บ้างก็หาว บ้างก็ขยี้ตา ไม่มีผู้ใดมีท่าทางของแม่ทัพเลย
กวนเซี่ยวขมวดคิ้ว หวังว่าอินจ้งจะดุด่าคนเหล่านี้สักหน่อย ให้พวกเขาได้ลิ้มรสความร้ายกาจของพวกเขา แต่อินจ้งกลับไม่ได้พูดอะไรเลย
เขายังมีสีหน้าใจดี มองดูทุกคนแล้วถามว่า “เมื่อวานแม่ทัพทุกคนดื่มเป็นอย่างไรบ้าง”
ทุกคนรีบประกบมือคำนับ พูดด้วยรอยยิ้ม “สุราของแม่ทัพอินเป็นสุรารสเลิศที่หายากจริงๆ เป็นบุญปากของพวกเราแล้ว”
“ตอนนี้แม่ทัพอินเป็นพระญาติของฝ่าบาท ดังนั้นสิ่งที่ฝ่าบาทประทานให้ ย่อมเป็นของดีอยู่แล้ว”
“ถูกต้อง การได้ดื่มสุราชั้นดีแบบนี้ แม้ต้องตายในทันที ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว”
ทุกคนพูดคุยสัพเพเหระ ประจบสอพลอยกใหญ่ แต่ใบหน้าของอินจ้งยังคงระบายยิ้มจางๆ
หลังจากที่พวกเขาพูดจบ อินจ้งก็พูดว่า “ข้าตั้งใจว่าจะส่งทหารออกรบคืนนี้ หวังว่าแม่ทัพจะสามารถระดมทหารออกไปต่อสู้ที่นอกเมืองพร้อมกับข้าได้”
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าต้องออกรบ รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาก็เหือดหายไป
ผ่านการต่อสู้เป็นเวลานาน พวกเขาก็ไม่มีทหารเหลืออยู่มากนัก คนหนุ่มและวัยกลางคนที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดถูกเกณฑ์มาเป็นทหารในค่ายหมดแล้ว ไม่มีทหารออกรบได้จริงๆ
ถ้าพวกเขาไม่มีทหารและม้าอยู่ในมือ ตำแหน่งแม่ทัพของพวกเขาก็ไม่เหลือแล้ว
ตอนนี้ต่างก็อดไม่ได้ที่จะดีดลูกคิดในใจ
คนหนึ่งไอแห้งๆ พูดว่า “แม่ทัพอิน ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากส่งทหาร แต่ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาคนเจียงวูบุกโจมตีทุกวัน รบกวนจนทหารนอนไม่ได้ทั้งวันทั้งคืน ขวัญกำลังใจลดลงอย่างมาก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การส่งทหารเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...