ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดกระโตกกระตาก
คนกลุ่มหนึ่งออกจากเมืองไปอย่างเงียบๆ
แม้ว่าทางเจียงวูจะยึดเมืองหนึ่งได้ แต่พวกเขายังคงคุ้นเคยกับการพักอาศัยอยู่ในกระโจม มีทหารเพียงไม่กี่คนที่คอยอารักขาเมือง ในความเห็นของพวกเขา ทหารม้าที่ด่านถงกู่ต่างหวาดกลัวไปหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องป้องกันอะไรมากนัก
เมื่อทุกคนเข้าใกล้เมืองถึงครึ่งลี้ ม้าส่วนหนึ่งก็หยุดลง ในขณะที่ส่วนหนึ่งเร่งความเร็วและบุกเข้าไปในเมือง
ทั้งคนและม้าเหล่านี้รวดเร็วมาก กระทั่งทหารที่อารักขาเมืองชาวเจียงวูยังไม่ทันได้ตอบโต้ คนเหล่านี้มาถึงด้านล่างของเมืองแล้ว
ทุกคนหยิบวัตถุสีเข้มออกมาจากแขนเสื้อ แล้วโยนขึ้นไปที่กำแพงเมือง แล้วคนต่างปีนขึ้นไปตามเชือกอย่างรวดเร็ว
สิ่งนี้เรียกว่าตะขอบิน เป็นสิ่งที่อินชิงเสวียนผลิตขึ้นให้อินปู้อวี่ แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากนัก แต่คนที่ใช้มันล้วนต้องเป็นคนที่มีกำลังแขนแข็งแรง โดยพื้นฐานแล้วจะไม่มีการยิงพลาด
เหล่าทหารรักษาเมืองต่างลนลานไปหยิบธนูและลูกธนู ในชั่วพริบตา อินปู้อวี่ก็พากลุ่มคนปีนขึ้นไปบนกำแพงเมือง และตวัดดาบใส่พวกเขาจนล้มระเนระนาด
ครั้นเห็นของสิ่งนี้มีประโยชน์มาก กวนเซี่ยวก็อดตื่นเต้นยินดีเสียมิได้ รีบล้วงดินปืนที่ซุกซ่อนไว้ในอกเสื้อออกมาทันที จากนั้นจุดไฟแล้วโยนเข้าไปที่ค่ายทหารด้านล่างเมือง
คนอื่นๆ ที่ตามมาก็จุดระเบิดแล้วขว้างลงไป
ครั้นได้ยินเสียงปังดังต่อเนื่อง ชาวเจียงวูก็ตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกทันที
อาซือหลานกำลังหลับสบาย เมื่อได้ยินเสียงระเบิดกึกก้องของดินปืน สีหน้าพลันเปลี่ยนไป สวมเสื้อคลุมออกมานอกกระโจม
ดินปืนไม่มีทางโยนมาจากระยะไกลได้ ต้องมีคนเข้ามาในเมืองแล้วแน่
เขาพุ่งไปข้างหน้าและเหาะไปถึงกำแพงเมืองแล้ว
อินปู้อวี่ที่กำลังมองด้วยกล้องส่องทางไกล ทันใดนั้นเขาก็เห็นคนที่เหาะตรงมาในทิศทางนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
คนผู้นี้เร็วมาก วิชาตัวเบาไม่ได้ด้อยเลย นอกจากคนผู้นี้แล้ว ยังมีกลุ่มทหารม้าที่วิ่งเข้ามาทางนี้ด้วย
อินปู้อวี่อดไม่ได้ที่จะอุทานว่าดีจริงๆ ครั้นจึงรีบตะโกนเรียกกวนเซี่ยวทันที
“ออกจากเมืองเดี๋ยวนี้ มีคนกำลังมา”
กวนเซี่ยวก็มองเห็นได้ชัดเจน แต่เขาไม่เคยเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของอาซือหลานมาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเขาคือท่านอ๋องแห่งเจียงวู
แม้ว่าเขาต้องการประลองฝีมือกับคนผู้นั้น แต่เมื่อนึกถึงคำที่อินจ้งกำชับไว้ เขาก็พยักหน้าหงึกหงัก
เมื่อทุกคนลงจากกำแพงเมือง ประตูเมืองก็เปิดออก มีทหารม้ากลุ่มหนึ่งวิ่งออกไปจากเมือง
ซึ่งอินปู้อวี่และกวนเซี่ยวได้พาคนกลับมายังค่ายพักแล้ว
เมื่อเห็นกลุ่มทหารม้าวิ่งออกมา อินจ้งก็พูดเสียงเรียบ “สังหารทหารม้าเหล่านี้ แล้วกลับเข้าเมืองโดยเร็ว”
ทุกคนตะโกนขานรับพร้อมกัน และรีบบุกตะลุยวิ่งหาเหล่าทหารม้า
แม้ว่าค่ายกลโล่กำแพงจะหนัก แต่ก็ไม่ช้า ไม่นานก็ตั้งค่ายกลได้อย่างรวดเร็ว สามารถต้านทานการโจมตีของทหารม้าได้ อินปู้อวี่และกวนเซี่ยวต่างนำทัพไปคนละหน่วย ตีปีกโอบล้อมจากทั้งสองข้างเพื่อล้อมคนเหล่านี้ไว้
ทหารม้าที่นำโดยอินปู้อวี่และกวนเซี่ยวต่างติดตั้งโกลนม้าไว้ด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่อินชิงเสวียนมอบให้เช่นกัน เมื่อมีสิ่งนี้ ทุกคนที่อยู่บนหลังม้าก็นั่งได้อย่างมั่นคงราวกับขุนเขาไท่ซาน
ยิ่งไปกว่านั้น ทหารเหล่านี้ยังเป็นกองกำลังเก่าของอินจ้งทั้งหมด เมื่อแม่ทัพกลับมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ แต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า และทหารโล่ยักษ์ที่ต้านทายอยู่แนวหน้าก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน ไม่เพียงแต่ต้านทานกีบเหล็กที่วิ่งโรมรันมาเท่านั้น แต่หอกที่ซ่อนอยู่ด้านในก็ลอบทำร้ายอยู่เช่นกัน ทิ่มแทงทหารเจียงวูเหล่านี้จนร้องไห้เรียกหาบุพการีเลยทีเดียว
อูเอินก็มาที่กำแพงเมืองเช่นกัน เมื่อเห็นว่าศัตรูแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เมื่อเห็นว่ากองกำลังทหารของเขาถูกล้อมไว้ ก็มิวายร้อนใจ
“ทั้งหมดนี้เป็นทหารจากค่ายม้าเหล็ก ถ้าขืนยังไม่ส่งคนไปช่วย เกรงว่าพวกเขาจะกลับมาไม่ได้แล้ว”
อาซือหลานยืนอยู่บนกำแพงเมืองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ใช้กลศึกเช่นนี้ คงเป็นอินจ้งแล้วล่ะ ข้ากลับอยากจะดูนักเชียว ว่าในระหว่างปีที่เขาอยู่ในเมืองซุ่ยหาน ฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นหรือถดถอยลง”
อูเอินกล่าวอย่างกระวนกระวายใจ “ถึงกระนั้นก็ไม่ควรให้เสียค่ายม้าเหล็กไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...