ไม่ใช่ว่าโหวเหนือไม่รู้วิธีการทำศึก เพียงแต่ว่าเขาเห็นแก่ตัวเกินไป จึงนำไปสู่ชะตากรรมก่อนหน้านี้
ถ้าเขาลงมือเด็ดขาดจริงๆ แม่ทัพเหล่านั้นจะทำอะไรได้
อินจ้งติดต่อกับโหวเหนือมาหลายครั้ง รู้จักนิสัยของเขาอยู่พอสมควร เมื่อเห็นเขาพูดเช่นนี้ ก็ไม่ได้เปิดโปงออกไป
“ตอนนี้คนขี้ขลาดเหล่านั้นตายไปแล้ว โหวเหนือก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป หวังว่าเจ้าและข้าจะเกลียดชังศัตรูคนเดียวกัน ร่วมมือกันทำให้เจียงวูสงบลง”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น มีแม่ทัพอินอยู่ ข้าก็รู้สึกสบายใจมาก”
โหวเหนือเริ่มวางแผนในใจ
เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รับความดีความชอบที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าอย่างไรเมืองนี้เขาก็สมควรได้รับความดีความชอบบ้าง
“ข้าจะออกไปตรวจนับกองทหารแล้ว พวกเราพักอีกสักสองสามวัน แล้วค่อยไปสู้กับเจียงวู”
ขณะมองตามแผ่นหลังของโหวเหนือ นัยน์ตาของอินจ้งก็ฉายแววหยามเหยียด
ถ้าใช้ดินปืนเป็น ไหนเลยจะยืดเยื้อมาจนถึงป่านนี้ ตัวโหวเหนือเองก็อยากจะรอใช้กลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ย
เพียงแต่จะทำอย่างไรต่อไป
ถ้าขืนบุ่มบ่ามเข้าไปในเจียงวู อินสิงอวิ๋นจะได้รับผลกระทบหรือไม่
อินจ้งกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของลูกชายคนโตของเขามาก
แต่หากไม่โจมตี พวกเขาก็จะฟื้นกำลังขึ้น และกลับมาโจมตีเมืองอีกครั้งแน่นอน
หลังจากใคร่ครวญอย่างหนัก อินจ้งก็ขบกราบแน่น
ในฐานะแม่ทัพควรเห็นแก่กิจการบ้านเมือง หากอินสิงอวิ๋นโชคร้ายถูกทรมานจนตาย เขาจะล้างแค้นให้เขาอย่างแน่นอน
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว เขาก็เรียกประชุมแม่ทัพทั้งหมดให้มาพักผ่อนที่นี่เป็นเวลาสามวัน หลังจากพ้นสามวันแล้ว ก็จะส่งกองกำลังทหารยังเจียงวู
ในเวลาเดียวกัน ในกระโจมของเจียงวู
อาซือหลานนั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้ามืดมน
สีหน้าของอูเอินก็ดูไม่ดีเช่นกัน
ทันทีที่มีการใช้ดินปืน ก็มีคนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ประกอบกับผู้ที่เสียชีวิตจากการรบอีก แม้จะถอยทัพทันเวลายังคงมีการสูญเสียทหารไปหลายพันนาย
อูเอินรักทหารดุจดั่งบุตรมาโดยตลอด อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจอย่างสุดซึ้ง
“หากเราไม่ยึดครองเมืองนี้ ก็คงไม่เกิดปัญหามากมายเพียงนี้ ในเมื่อเราเสียเมืองไปแล้ว ก็ควรยุติสงครามเท่านี้จะดีกว่า”
อาซือหลานพูดด้วยสายตาเย็นชา “ท่านในฐานะผู้นำของเผ่า กลับกล่าวพูดคำที่ทำให้ท้อใจเช่นนี้ ไม่รู้สึกละอายใจต่อทหารที่บาดเจ็บเสียชีวิตบ้างหรือ”
อูเอินกล่าวว่า “เดิมทีพวกเราสามารถปักหลักอยู่ในที่ริมได้ แต่การยืนกรานในการต่อสู้ของเจ้านั่นแหละ ที่ทำให้เกิดภัยพิบัติเช่นนี้ หากขืนยังดื้อรั้นต่อไป เมื่อกองทหารของต้าโจวมาเยือน จะยิ่งมีผู้เสียชีวิตมากขึ้น”
อาซือหลานหรี่ตาเรียวเล็กราวกับอสรพิษ
“ท่านหมายความว่า เตรียมพร้อมยอมแพ้แล้ว? อูเอิน ท่านอย่าลืมนะ น้องสาวของท่านยังอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า”
เมื่อกล่าวถึงเป่าเล่อเอ่อร์ ดวงตาของอูเอินก็หรี่มืดลง
“แม้ว่าเราจะไม่ได้เกิดจากแม่คนเดียวกัน แต่ก็มีสายเลือดจากบิดาคนเดียวกัน เป่าเล่อเอ่อร์ก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเจ้า เจ้าจะทำร้ายนางได้อย่างไร”
อาซือหลานพูดไม่อินังขังขอบ “เกิดเป็นราชวงศ์ ต้องมีจิตสำนึกที่จะเสียสละเพื่อชาวเผ่า”
อูเอินขบฟันกรามเป็นสันนูน
“ได้ ข้าจะสู้”
อาซือหลานตบไหล่ของเขาด้วยความพึงพอใจ
ก้มลงแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่คนดีของข้า ถึงเวลาแล้วที่ขุนนางเฒ่าของท่านต้องออกไปทำงานแล้ว พวกเราเจียงวูไม่เลี้ยงดูโดยไร้ประโยชน์”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินหัวเราะออกไป
ในอีกกระโจมหนึ่ง จูอวี้เหยียนไม่มีรอยยิ้มเช่นดั่งเคย
“สารเลวอินจ้ง มีความสามารถมากจริงๆ”
อาซือหลานกลับไปสู่ความสงบดังเดิมแล้ว
เขายกริมฝีปากขึ้นแล้วพูดว่า “ก็แค่เมืองผุๆ พังๆ หากต้องการพวกเราก็สามารถแย่งกลับมาได้ทุกเมื่อ ตอนนี้เราต้องค้นหาดินปืนของพวกเขามาให้ได้ เพื่อสืบเสาะว่ามันทำมาจากอะไรกันแน่”
จูอวี้เหยียนกล่าวว่า “ตอนนี้ทั้งสองกองทัพกำลังทำสงครามกัน อีกฝ่ายจะต้องระวังอย่างแน่นอน ข้าเกรงว่าแอบเข้าไปตอนนี้คงไม่ง่าย”
อาซือหลานกางพัดพับออก แล้วโบกพัดด้วยท่วงท่าสง่างาม
“เรายังมีอินสิงอวิ๋นอยู่ไม่ใช่หรือ เลี้ยงดูเขามากว่าหนึ่งปีแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาใช้งานแล้ว”
จูอวี้เหยียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หมากตัวนี้ ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องใช้แล้ว?”
อาซือหลานพยักหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...