สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 471

โหวเหนือถอนหายใจแล้วพูดว่า “สาวน้อยภายในเข้มแข็งแต่ภายนอกอ่อนโยน แต่ไม่ใช่ผู้ที่มีอารมณ์อ่อนแอ ในเมื่อเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจอย่างแน่นอนแล้ว จึงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายๆ น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าหลงในอำนาจ หากไม่ใช่เพราะข้าบีบให้นางแต่งงานกับอันผิงอ๋อง ก็คงไม่เกิดเหตุยุ่งยากเช่นนี้”

อินจ้งพูดปลอบใจว่า “ทุกเรื่องต่างมีข้อยกเว้น อีกทั้งคุณหนูก็เป็นคนสนิทเพียงคนเดียวของท่านโหว เพื่อเห็นแก่ท่านโหว ไม่แน่ว่าอาจจะยินยอมสึก”

เมื่อได้ฟังคำพูดของอินจ้ง โหวเหนือจึงรู้สึกมีความหวังขึ้นอีกครั้ง

“แม่ทัพอินพูดมีเหตุผลทีเดียว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ต้องลองดูก่อนจึงจะรู้”

อินจ้งพยักหน้า และสั่งเสียงเข้มว่า “ปิดช่องว่างของกำแพงเมืองเดี๋ยวนี้ หากผู้ใดกล้าเข้าใกล้ประตูเมือง จะถูกยิงทันทีไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม”

ข่าวที่อินจ้งยังไม่ตายถูกกระจายถึงหูชาวบ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าอินจ้งยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนต่างโห่ร้องดีใจ และเมื่อได้ข่าวว่าราชาเผ่าเจียงวูถูกจับตัว ก็ตีฆ้องตีกลองด้วยความปีติยินดีมากยิ่งขึ้น เฉลิมฉลองไปตามถนน

เป็นเวลากลางคืนที่คึกคักเสียยิ่งกว่าเวลากลางวัน

นอกเมือง

อาซือหลานและจูอวี้เหยียนกำลังตรวจตราสถานการณ์ในการสู้รบอยู่ทางด้านนี้

ตอนเริ่มต้นยังคงได้ยินเสียงตะโกนเข่นฆ่า ต่อมากลับหายเข้ากลีบเมฆ ในใจรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง

อาซือหลานขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทหาร ไปสืบที่นอกเมืองเดี๋ยวนี้ ดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

จูอวี้เหยียนจับผมที่ถูกลมพัดปลิวไสว พูดด้วยท่าทางที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล “โหวเหนือรักตัวกลัวตาย อินปู้อวี่และกวนเซี่ยวยังเด็กเกินไป ไม่อาจรับผิดชอบหน้าที่อันใหญ่หลวงได้ สงครามครั้งนี้ไม่น่ามีอะไรยากเกินไป ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นการปรับปรุงการทหารของต้าโจวก็ได้นะ”

อีกทั้งอินสิงอวิ๋นยังคงมีชีวิตอยู่ ยังสามารถลอบสังหารเป็นครั้งที่สองได้เช่นกัน ไม่เพียงแต่อินจ้งเท่านั้น คนในตระกูลอินไม่ควรมีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว

เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว จูอวี้เหยียนก็อดแสยะยิ้มที่มุมปากไม่ได้ เผยให้เห็นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ

อาซือหลานกลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนนาง ความเงียบงันอย่างกะทันหันของเมืองลั่วสยา ทำให้เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง

อาจเป็นไปได้ว่า... อินจ้งกำลังแกล้งตายเพื่อล่อศัตรู

อาซือหลานยิ่งคิด สีหน้าก็ยิ่งดูไม่ดีนัก ในระหว่างที่ครุ่นคิด จู่ๆ ก็เห็นทหารที่ส่งออกไปขี่ม้ากลับมา จึงถามขึ้นทันทีว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”

ทหารพลิกตัวลงจากหลังม้า พูดด้วยสีหน้าซีดขาว “แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินเสียงเฉลิมฉลองจากในเมือง เหมือนว่าราชาเผ่าและแม่ทัพมู่จัวจะถูกจับตัวไปแล้ว”

“อะไรนะ?”

จูอวี้เหยียนยื่นมือออกไปคว้าคอเสื้อของทหารนานนั้นไว้

“เจ้าพูดอีกรอบสิ”

ทหารเหงื่อไหลพรูในทันที และพูดด้วยความสั่นเทาว่า “ทูลราชครู ราชาเผ่าและมู่จัว รวมทั้งแม่ทัพอีกหลายนาย ดูเหมือนจะถูกจับตัวไปแล้ว”

สีหน้าของอาซือหลานมืดมนลงในทันที

“อินจ้งตัวดี ที่แท้ก็แค่แกล้งตาย พิษกู่ของราชครูทำได้เพียงเท่านี้เองสินะ”

อาซือหลานพลิกตัวขึ้นม้า มุ่งหน้าไปค่ายทหารเจียงวูโดยไม่หันหลังกลับมาอีกเลย

สีหน้าของจูอวี้เหยียนก็ดูแย่มากทีเดียว

นางร่ำเรียนวิชากู่มาตั้งแต่เล็ก และนางมั่นใจในพิษกู่ของตัวเองมาโดยตลอด เหตุใดเมื่อถึงอินสิงอวิ๋นจึงไม่อาจใช้การได้ หรือว่าอินสิงอวิ๋นได้จัดการการควบคุมพิษกู่ด้วยตัวเองมานานแล้ว?

เมื่อลองคิดดูอีกครั้ง มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย หากนางไม่ใช่ผู้ที่สั่งการด้วยตัวเอง ก็ไม่มีผู้ใดสามารถกำจัดพิษกู่ได้อีก ต้องเป็นเพราะอินจ้งที่แกล้งตาย ทำให้อินสิงอวิ๋นเข้าใจผิด

เรื่องจริงก็เป็นจริงดังนี้

เมื่อได้ฟังลูกชายคนเล็กพูด อินจ้งก็เกิดความสงสัยขึ้น

และเมื่อพบอินสิงอวิ๋นอีกครั้ง ซึ่งไม่ได้ปลอมตัวมา ในใจก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น เขาเป็นผู้นำกองกำลังทหารมาโดยตลอด เขาได้ยินเรื่องแปลกประหลาดในยุทธภพมาบ้าง จึงอดไม่ได้ที่จะคิดเรื่องหยุมหยิม

อีกทั้งนับตั้งแต่อินสิงอวิ๋นกลับมา เขาเย็นชาต่อตัวเองและปู้อวี่เป็นอย่างมาก และเขาก็นอนหลับลึกมาก ซึ่งไม่ใช่ลักษณะนิสัยของเขาเลย และเมื่อเห็นว่านอกเมืองมีการขุดหลุมไว้หลายแห่ง จึงคิดว่าน่าจะเป็นแผนการของชาวเจียงวู ดังนั้นจึงได้ทำแผนซ้อนแผน เพื่อล่อศัตรูให้ติดกับ

ตอนนี้ขอเพียงแค่เจียงวูยอมจำนนต่อต้าโจว และเขียนจดหมายยุติสงคราม เขาจึงจะพากองทหารกลับไปรายงานพระบัญชา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์