เย่จิ่งอวี้ก็ตกใจเล็กน้อย
พวกผู้หญิงเจียงวูคุกเข่าลงและพูดพร้อมกันว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วแน่น
ตราบใดที่ตัวเองมีสถานะเป็นโอรสแห่งสวรรค์ เขาไม่มีทางกลับคำพูดได้ จึงพูดกับหลี่เต๋อฝูว่า “ไปหาตำหนักให้พวกนางด้วย”
หลี่เต๋อฝูก็มีสีหน้าประหลาดใจ เขาแอบเหลือบมองเย่จิ่งอวี้ และบอกพวกผู้หญิงว่า “ทุกท่าน ตามข้ามา”
หญิงที่เป็นผู้นำพูดว่า “ขอบพระคุณกงกง”
อินจ้งกระแอมเสียงแห้งและพูดว่า “กระหม่อมก็ขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
แม้เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก
เย่จิ่งอวี้เป็นถึงโอรสสวรรค์ในราชวงศ์นี้ อย่าว่าแต่ทาสหญิงพวกนี้เลยหากเขาต้องการผู้หญิงทุกคนบนโลก ก็ไม่มีใครกล้าพูดมากได้
เย่จิ่งอวี้พยักหน้า แต่กลับอึดอัดในใจ
ตัวเองเป็นอะไรไป หรือว่าเมื่อคืนไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ จึงสับสนมึนงงเช่นนี้?
ทันใดนั้นก็นึกถึงพิษกู่ของอินสิงอวิ๋น จึงแอบตกใจเล็กน้อย
หรือว่าคนเหล่านี้มาด้วยเป้าหมายที่ไม่ดี และกล้าทำมิดีมิร้ายในแก้วน้ำชาของตัวเอง?
มิเช่นนั้นตัวเองจะกล้าทำการตัดสินใจแบบนี้ได้อย่างไร?
เพราะคิดว่าเป็นชาของในวัง จึงไม่ได้คิดมาก เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง เย่จิ่งอวี้ก็ว้าวุ่นใจเล็กน้อย
“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าอยากอยู่เงียบๆ สักหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีน้อยหลายคนตอบรับและถอยออกไป พร้อมปิดประตูตำหนักอย่างเรียบร้อย
เย่จิ่งอวี้นั่งขัดสมาธิบนเบาะนุ่ม และรวบรวมสมาธิ เมื่อกำลังภายในไหลเวียนในร่างกายได้ปกติ เขาก็ลืมตาขึ้น
ตัวเองคงคิดมากเกินไป
ทาสหญิงเพียงไม่กี่คน ผ่านไปไม่กี่วันค่อยหาเหตุผลส่งพวกนางออกนอกวัง และส่งองครักษ์คอยจับตามองพวกนาง หากมีความเคลื่อนไหวผิดปกติก็ฆ่าทิ้งเสีย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เย่จิ่งอวี้ก็สบายใจมากขึ้น เพียงแต่ต้องไปอธิบายให้เสวียนเอ๋อร์ฟัง
ในเมื่ออินจ้งสยบความวุ่นวายในเจียงวูได้ ก็สามารถใช้โอกาสนี้ในการแต่งตั้งเสวียนเอ๋อร์เป็นฮองเฮา
เมื่อนึกถึงหญิงสาวที่มีความสามารถสูงส่งและมีจิตใจเมตตา เย่จิ่งอวี้ก็ไม่มีอารมณ์จะอ่านสาส์นกราบทูลได้อีกต่อไป
เขาวางพู่กันลง และพาขันทีหลายคนมาที่ตำหนักจินหวู
อินชิงเสวียนกำลังหยอกล้ออยู่กับเสี่ยวหนานเฟิง เจ้าเด็กอ้วนชอบฟังเสียงเป็ดร้องเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่ได้ยินก็จะหัวเราะร่าออกมา
เมื่อเห็นดวงตาสีดำโค้งราวกับพระจันทร์ อินชิงเสวียนแทบใจละลาย
เย่จิ่งอวี้เดินเข้ามาในตำหนัก ทันทีที่เห็นภาพที่อบอุ่น ปากบางของเขาก็ยิ้มขึ้นมา หัวใจของนิ่งสงบลงในทันที
“หม่อมฉันขอถวายบังคมฝ่าบาท”
อวิ๋นฉ่ายเห็นเย่จิ่งอวี้ ก็รีบคุกเข่าลงคำนับ
“ลุกขึ้นเถอะ”
เย่จิ่งอวี้โบกมือ และเดินไปยังด้านหน้ารถเข็นเด็ก ยื่นมือไปอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงออกมา
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ เสี่ยวหนานเฟิงก็กอดคอของเขาด้วยความดีใจในทันที และตะโกนพูดเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “เสด็จพ่อ~”
เย่จิ่งอวี้หอมลงบนใบหน้าเล็กๆ ที่อ้วนท้วนของเขา
“จ้าวเอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อหรือไม่?”
เสี่ยวหนานเฟิงก็เลียนแบบท่าทางของเขา เบะปากเล็กๆ ที่มีสีชมพูอ่อน หอมลงบนใบหน้าของเย่จิ่งอวี้
เมื่อริมฝีปากอ่อนนุ่มแนบลงบนใบหน้า ความมืดครึ้มในหัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็ส่องสว่าง
“จ้าวเอ๋อร์เป็นเด็กดีเสียจริง”
เสี่ยวหนานเฟิงปรบมือเล็กๆ ของเขาขึ้นมาทันที ทำตาหยีและพูดว่า “เด็กดี~”
เมื่อได้ยินเสี่ยวหนานเฟิงเปล่งเสียงออกมาอย่างชัดเจน เย่จิ่งอวี้ก็ยิ่งปลาบปลื้มใจมากขึ้น
เจ้าหนูนี่ช่างเฉลียวฉลาดเสียจริง หากอายุถึงหนึ่งขวบ อาจเริ่มเรียนวิชาความรู้ก็เป็นได้
อินชิงเสวียนลุกขึ้นยืม อมยิ้มและถามว่า “วันนี้ฝ่าบาทไม่อ่านสาส์นกราบทูลหรือเพคะ? เหตุใดจึงกลับเร็วขนาดนี้เพคะ?”
เย่จิ่งอวี้อุ้มลูกชาย และนั่งลงบนเก้าอี้หินในลานบ้าน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...