สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 491

อินสิงอวิ๋นถูกอินชิงเสวียนดึงหน้าจนยืด แต่บนใบหน้าก็ไม่มีหน้ากากผิวหนังมนุษย์หรืออะไรทำนองนั้น

อินชิงเสวียนตรวจสอบอย่างระมัดระวังอีกครั้ง จากนั้นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

นี่จะคงเป็นอินสิงอวิ๋นตัวจริงแน่แล้ว แต่จู่ๆ อินชิงเสวียนนึกถึงเงาร่างที่ดูคล้ายกับฟางรั่วมาก เชื่อว่าอีกไม่นานการเดาของนางคงจะได้รับการยืนยัน

“ได้ยินว่าท่านพ่อขอร้องหัวหน้าหมอหลวงเหลียงมารักษาพี่ใหญ่ ไม่รู้ว่าตรวจพบอะไรหรือไม่”

อินปู้อวี่พูดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “หมอหลวงเหลียงบอกว่าพี่ใหญ่สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ เพียงแต่เลือดลมอ่อนแอ ไม่มีอาการป่วยร้ายแรงแต่อย่างใด”

อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว อาการคล้ายกับสถานการณ์ของเย่จั้นเลยนี่

การผ่าตัดของเย่จิ่งหลานล้มเหลวไปแล้วครั้งหนึ่ง ถึงตามหาเขาอีกก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

“นอกจากนอนหลับแล้ว เขายังมีการเคลื่อนไหวอื่นอีกหรือไม่”

อินปู้อวี่ส่ายศีรษะ

“ไม่มี เพียงแต่ง่วงซึมอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ก็ไม่เหมาะนัก ต้องวินิจฉัยโรคก่อน จึงจะรักษาได้”

อินชิงเสวียนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “บางที...อาการที่พี่ใหญ่เป็นไม่ใช่โรค”

อินปู้อวี่ถามอย่างงุนงง “แล้วเป็นอะไร”

“พี่รองเคยได้ยินเรื่องพิษกู่หรือไม่”

อินปู้อวี่เกาศีรษะแกรกๆ

“ก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ผู้ใช้กู่มีแต่ชาวยุทธภพ พี่ใหญ่จะไปหาเรื่องพวกเขาได้อย่างไร”

อินชิงเสวียนนั่งลงบนเตียง แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เราได้รับข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อนว่า จูอวี้เหยียนที่เป็นี่ชครูของเจียงวูเป็นยอดฝีมือผู้ใช้กู่ สาเหตุการป่วยของพี่ใหญ่นั้น มีความเป็นไปได้มากว่าเป็นฝีมือของนาง”

“เจ้าหมายถึง...พี่ใหญ่ถูกเสกกู่ใส่งั้นหรือ”

“อืม มีความเป็นไปได้แปดในสิบส่วน”

เมื่อได้ยินน้องหญิงใหญ่พูดเช่นนี้ อินปู้อวี่ก็เริ่มวิตกกังวลทันที

“แล้วเราจะทำอย่างไรดี ได้ยินมาว่าพิษกู่กำจัดยากมาก มีเพียงคนที่เสกกู่ใส่เท่านั้นถึงจะกำจัดออกได้ เช่นนั้นพี่ใหญ่ก็หมดหวังแล้วอย่างนั้นหรือ”

“พี่รองอย่ากังวลไป เรื่องกับพี่ใหญ่ก็ไม่ได้หมดหวังไปเสียทีเดียว ข้ารู้ว่ามีคนผู้หนึ่งสามารถกำจัดพิษกู่ได้ แต่การตามหาคนผู้นี้ค่อนข้างยาก ยามนี้ฝ่าบาทได้ส่งคนไปตามหาแล้ว สาเหตุที่ไม่ได้บอกท่านพ่อ เพราะเกรงว่าเขาจะรับไม่ไหว”

อินปู้อวี่กระวนกระวายใจ ถามทันที “เป็นยอดฝีมือผู้ใด แล้วอยู่ที่ไหน ข้าจะไปตามหาเขาเอง”

อินชิงเสวียนถอนหายใจ “คนผู้นี้มาจากสำนักที่ถือสันโดษ และไม่เป็นที่รู้จักในใต้หล้า”

“แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีชื่อแซ่บ้างสิ”

“สำนักของพวกเขามีชื่อว่าหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ส่วนชื่อของผู้ที่เล่นพิณนั้น ข้าก็ไม่รู้จักเช่นกัน”

“หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์?”

เห็นได้ชัดว่าอินปู้อวี่ไม่เคยได้ยินมาก่อน อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เป็นสำนักอะไร”

อินชิงเสวียนยักไหล่

“ไม่ทราบแน่ชัด แต่ดูจากชื่อแล้ว น่าจะเป็นสำนักที่เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องดนตรี พวกเขาสามารถใช้เสียงพิณกำจัดหนอนกู่ได้”

ครั้นแล้วอินชิงเสวียนก็เล่าเรื่องของเย่จั้นให้อินปู้อวี่ฟัง อินปู้อวี่คิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “งั้นเราก็รอข่าวจากฝ่าบาทเถอะ”

“เจ้าค่ะ ฝ่าบาทได้ส่งสายลับจำนวนมากไปสืบหาหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าจะได้ข่าวในไม่ช้า”

หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบก็ถามว่า “พี่รองรู้เรื่องท่านอาหรือไม่”

“ทำไมเจ้าจึงถามถึงท่านอาล่ะ”

“ได้ยินมาว่าท่านอาหายตัวไป เพราะอะไรกันแน่ ได้ตามหานางอยู่แถวนั้นบ้างหรือไม่”

อินปู้อวี่นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ

“เรื่องนี้พูดแล้วก็ยาว ในปีนั้นท่านอาออกจากบ้านไปบำเพ็ญเพียรที่วัดสุ่ยจิง ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวเลย เมื่อไม่กี่ปีก่อนท่านพ่อได้ไปเยี่ยม แต่ได้รับแจ้งว่าท่านอาหายตัวไปแล้ว หลายปีมานี้ท่านพ่อส่งคนออกไปค้นหาอยู่ตลอด แต่ไม่มีข่าวคราวใดๆ”

หลังจากที่อินปู้อวี่พูดจบ เขาก็ถามด้วยความสงสัย “เรื่องนี้เจ้าก็น่าจะรู้นี่นา”

อินชิงเสวียนพูดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่ง อย่างนี้ก็เรียกว่าเรื่องยาวกระนั้นหรือ

“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมท่านอาถึงหายตัวไป”

อินปู้อวี่นิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้”

อินชิงเสวียนถามอีก “แล้วท่านเคยรู้เรื่องที่ท่านอาเคยเล่นพิณการเวกหรือไม่”

หลังจากผ่านไปราวๆ สิบห้านาที เย่‍จิ่ง‍อวี้และอินจ้งก็เดินออกจากห้อง

อินชิงเสวียนก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “พิษกู่เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด ท่านพ่อกับพี่รองโปรดระวังด้วย ป้องกันไม่ให้พี่ใหญ่เสียสติและทำร้ายพวกท่าน”

อินจ้งพยักหน้าและกล่าวว่า “เรื่องนี้พ่อได้เตรียมการไว้แล้ว เสวียน‍เอ๋อร์ไม่ต้องห่วง”

ขณะที่พูด ซูหมิงหลานก็เตรียมอาหารเสร็จพอดี และพาจื่อลั่วไปที่ห้องโถงด้านหน้า

“หายากที่ฝ่าบาทและกุ้ยเฟยจะมาเยือนจวนเรา หม่อมฉันได้เตรียมสำรับอาหารไว้ ถึงไม่ประณีตเหมือนในวัง ขอฝ่าบาทและกุ้ยเฟยอย่าได้รังเกียจ”

ซูหมิงหลานดึงชายเสื้อผ้า ไม่สามารถซ่อนความกังวลใจได้

อินจื่อลั่วซ่อนตัวอยู่ข้างหลังนาง ลูกตาขาวตัดกับตาดำชัดเจนกะพริบอยู่ปริบๆ จ้องมองเย่‍จิ่ง‍อวี้อย่างสงสัย

นี่คือพี่เขยของนาง หน้าตาหล่อเหลามากจริงๆ นี่คงเป็นเหมือนคำที่บรรยายอยู่ในตำราว่าคู่สร้างคู่สมแน่ๆ

ไม่รู้ว่าในอนาคตตัวเองจะได้สามีเช่นไร

เด็กหญิงอายุสิบสี่รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว บางทีก็คิดเพ้อฝันถึงสามีในอุดมคติของตัวเองแล้วหน้าแดง นี่ตัวเองกำลังคิดเหลวไหลอะไรอยู่ ถุยๆ นางไม่อยากแต่งงานเสียหน่อย...

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อินชิงเสวียนก็คลี่ยิ้มละไมพูดว่า “ท่านแม่รองเกรงใจไปแล้ว กินอาหารทำเองที่บ้านเป็นมื้ออาหารที่อร่อยที่สุดแล้ว”

คำพูดของอินชิงเสวียน ทำให้ซูหมิงหลานรู้สึกซาบซึ้ง

สาวน้อยคนนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ตอนนี้เป็นแม่คนแล้ว ยิ่งมีความอ่อนโยน มีน้ำใจ และมีเข้าอกเข้าใจคนอื่นมากขึ้น

“ในเมื่อกุ้ยเฟยไม่รังเกียจ ก็เชิญนั่งเร็วๆ”

อินจ้งรีบลุกขึ้นยืน แล้วเชิญเย่‍จิ่ง‍อวี้ไปนั่งที่ตำแหน่งที่นั่งหลัก แล้วตัวเองก็นั่งที่ตำแหน่งรองลงมา

อินจื่อลั่วนั่งอยู่ข้างๆ อินชิงเสวียน คอยคีบอาหารให้พี่สาวอย่างรู้ความ พอว่างๆ ก็หันไปหยอกล้อหลานชายเล่น

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงก็ชอบอินจื่อลั่วมาก มือน้อยๆ ดึงผมเปียของอินจื่อลั่วเล่นอย่างสนุกสนาน

ชั่วพริบตาเดียว พระอาทิตย์ก็เคลื่อนคล้อยลง

เย่‍จิ่ง‍อวี้เริ่มเมาเล็กน้อย

เขายืนขึ้นแล้วพูดว่า “นี่ก็มืดค่ำแล้ว ข้ากับเสวียน‍เอ๋อร์ต้องกลับแล้ว ขอบคุณทุกท่านสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น วันหน้าเมื่อมีเวลาว่าง ข้าจะมาใหม่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์