สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 492

อินจ้งยืนขึ้นโดยเร็ว

“ฝ่าบาทอยากดื่มชาสร่างเมาก่อนเสด็จกลับหรือไม่”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยิ้มจางๆ และพูดว่า “ไม่ต้อง สามารถแบ่งเวลาว่างมาได้ครึ่งวันก็ไม่ง่ายแล้ว ข้ายังมีงานอื่นต้องทำ ไม่รั้งอยู่นานดีกว่า”

อินจ้งรู้ดีว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้ยุ่งงานกิจการบ้านเมือง เขาจึงรีบโค้งคำนับและพูดว่า “เช่นนี้แล้ว กระหม่อมก็ไม่รั้งฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ส่งเสียงอืมรับคำ จากนั้นเสี่ยวอานจื่อก็พยุงไปที่ประตู อินชิงเสวียนก็อุ้มเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงขึ้นมาเช่นกัน

“ท่านพ่อ ท่านแม่รอง ข้าจะกลับวังแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นที่บ้าน ให้ส่งคนมาแจ้งข้าด้วย”

อินจ้งพยักหน้าหงึกหงัก

“เจ้าก็ต้องรักษาสุขภาพ ดูแลลูกให้ดีด้วย”

ซูหมิงหลานก้าวไปข้างหน้า จับมืออินชิงเสวียนแล้วกระซิบ “ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา ในบ้านเรียบร้อยดีทุกอย่าง เจ้าอยู่ในวังคนเดียวก็ไม่ง่าย ต้องระวังและคิดให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือทำ”

อินชิงเสวียนรู้สึกอบอุ่นในใจ นางพูดเบาๆ “ขอบคุณท่านแม่รอง ข้าจะจดจำคำสอนของท่านแม่รอง ในช่วงที่ข้าไม่อยู่ ท่านพ่อ พี่รอง และน้องหญิงเล็ก ต้องรบกวนท่านแม่รองให้ช่วยดูแลแล้ว”

ซูหมิงหลานพูดด้วยใบหน้าเปี่ยมรัก “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน นี่คือสิ่งที่ท่านแม่รองควรทำ เอาล่ะ อย่าให้ฝ่าบาทต้องรอนานนัก”

อินชิงเสวียนยิ้ม ลูบศีรษะเล็กๆ ของอินจื่อลั่วเบาๆ แล้วกระซิบ “รอให้พี่จัดการธุระให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะมารับเจ้ากับท่านแม่รองเข้าไปพักอยู่ในวังสักหลายๆ วัน”

สีหน้าของอินจื่อลั่วแช่มชื่นขึ้นทันที

“จริงหรือเจ้าคะ ขอบคุณท่านพี่”

“แน่นอน งั้นพี่ไปก่อนนะ”

อินชิงเสวียนถลกกระโปรงขึ้นแล้วเดินออกไป เย่‍จิ่ง‍อวี้คอยอยู่บนรถม้าแล้ว

วันนี้เขาดื่มไปไม่น้อยจริงๆ เจียงวูเปรียบเสมือนหินก้อนใหญ่ที่ถ่วงอยู่ในใจของเย่‍จิ่ง‍อวี้มาโดยตลอด หากสงครามไม่สงบหนึ่งวัน ราษฎรก็จะต้องทนทุกข์ทรมานอีกหนึ่งวัน ตอนนี้ได้ลงนามในข้อตกลงยุติสงครามแล้ว ซึ่งสามารถรับรองความสงบสุขได้หลายปี เขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร

เมื่อได้ยินเสียงพูดอ้อแอ้ของจ้าวเอ๋อร์ เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ลืมตาที่เริ่มพร่าเลือนขึ้น จับมือเล็กป้อมของจ้าวเอ๋อร์ไว้

“ได้ออกจากวังดีใจหรอือไม่”

จ้าวเอ๋อร์ไม่เข้าใจความหมายที่เย่‍จิ่ง‍อวี้พูด เขายื่นมือเล็กๆ จะกอดเขา

อินชิงเสวียนพูดอย่างฉุนน้อยๆ “จ้าวเอ๋อร์เด็กดี เสด็จพ่อของเจ้าเริ่มเมาแล้ว ให้เขาพักผ่อนสักประเดี๋ยว”

เย่‍จิ่ง‍อวี้กอดร่างเล็กๆ นุ่มๆ ของลูกชาย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร ข้าสบายดี”

ครั้นเห็นเย่‍จิ่ง‍อวี้มีสีหน้าผ่อนคลาย อินชิงเสวียนก็ยิ้มแล้วถามว่า “ฝ่าบาทดูจะอารมณ์ดีนะเพคะ?”

เย่‍จิ่ง‍อวี้โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วพูดด้วยแววตาลึกล้ำ “ได้อยู่กับเสวียน‍เอ๋อร์ ข้าย่อมมีความสุขอยู่แล้ว”

เมื่อได้เห็นนัยน์ตาเป็นประกายลึกล้ำราวกับหมู่ดาวในทะเลลึก หัวใจของอินชิงเสวียนก็เต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้

สายตาของบุรุษรูปงามช่างต้านทานได้ยากเหลือเกิน

นางกระแอมไอพูดว่า “เมื่อแผ่นดินต้าโจวสงบสุขอย่างแท้จริงแล้ว หม่อมฉันอยากออกนอกวังไปท่องเที่ยวกับฝ่าบาท สามารถแต่งกายสามัญไปตรวจเยี่ยมราษฎรเป็นการส่วนตัว และตรวจสอบความเป็นอยู่ของราษฎรด้วย”

เย่‍จิ่ง‍อวี้กล่าวอย่างมีความสุข “ข้อเสนอของเสวียน‍เอ๋อร์ดีมาก ตอนนี้การปลูกพืชและการผันน้ำเริ่มเห็นผลในเบื้องต้นแล้ว ในปีหน้าความเป็นอยู่ของผู้คนจะดีขึ้นอย่างมาก ตราบใดที่ชายแดนมั่นคง ปวงประชาก็จะอยู่เย็นเป็นสุขอย่างแท้จริง เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะพาเสวียน‍เอ๋อร์กับจ้าวเอ๋อร์ไปชมภูเขาและแม่น้ำอันโด่งดังของต้าโจว ชื่นชมความยิ่งใหญ่และสง่างามของแม่น้ำด้วย”

อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันจะตั้งตาคอยเพคะ ฝ่าบาทอย่าผิดสัญญาล่ะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้แตะปลายจมูกตรงของนางเบาๆ

“ในชีวิตนี้ของข้าจะไม่โกหกเสวียน‍เอ๋อร์เด็ดขาด”

ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็รู้สึกว้าวุ่นใจ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด จู่ๆ ถึงเกิดความคิดแวบหนึ่งว่าอยากพบหน้าสาวใช้ของเจียงวู

ความคิดนี้ทำให้เย่‍จิ่ง‍อวี้ตกใจเล็กน้อย

เขาไม่ใช่คนที่หลงระเริงในตัณหา ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะสนใจสตรีต่างเผ่า นี่มีนเกิดอะไรขึ้น

หรือว่าตกหลุมพรางเข้าแล้วจริงๆ

เมื่อคิดได้ดังนี้ แววตาของเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็เย็นเฉียบ

ในเมื่อคนอยู่ในวังแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคาดเดาอีก จับคนในคุกหลวงมาถามก็รู้ได้แล้ว

เมื่อสีหน้าของเย่‍จิ่ง‍อวี้เปลี่ยนไป อินชิงเสวียนจึงถามด้วยความเป็นห่วง “ฝ่าบาทเป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ฝืนระงับความว้าวุ่นใจ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มปลอบโยนว่า “ข้าไม่เป็นไร แค่ปวดหัวเล็กน้อย”

“สาวใช้ไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้กัดฟันแล้วพูดว่า “คนจากเจียงวู ทุกคนเลย รีบไปเร็วเข้า”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เต๋อฝูขานรับ แล้วออกไปเรียกทหารองครักษ์

แต่ในใจกลับพิศวงอย่างมาก ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าจะเก็บพวกนางไว้ แต่นี่เพิ่งผ่านไปวันเดียว ก็เปลี่ยนใจแล้ว ช่วงนี้ฝ่าบาทเป็นอะไรไป

หรือว่าที่พระสนมแห่งตำหนักจินหวูโกรธ ถึงได้ทำเช่นนี้?

ขณะที่เขาไตร่ตรองตลอดทาง เขาก็มาถึงหอซีอวิ๋นแล้ว

จูอวี้เหยียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง กำลังกระตุ้นกู่เสน่หา นางได้วางยาในตำหนักจินหวูแล้ว เมื่อใดที่ได้สัมผัสเย่‍จิ่ง‍อวี้ อินชิงเสวียนจะต้องถูกทรมานอย่างแน่นอน

แน่นอนว่ากู่นี้ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต เพราะจูอวี้เหยียนไม่อยากให้อินชิงเสวียนตายง่ายๆ แต่จะทำให้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยบาดแผลเน่าเปื่อย ใบหน้าเหมือนผี

เมื่อนึกถึงตรงนี้ จูอวี้เหยียนก็ยกมุมริมฝีปากขึ้นแล้วหัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียม

หลี่เต๋อฝูได้นำผู้คนเข้าไปในประตูตำหนักแล้ว สาวใช้นางกำนัลหลายคนก็หยุดที่ประตูอย่างรวดเร็ว

“กงกงมาที่นี่มีธุระอันใดหรือ”

หลี่เต๋อฝูบีบเสียงพูดว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้นายหญิงไปสอบสวนที่คุกหลวง”

ฟางรั่วถามว่า “คุกหลวงคือที่ไหน”

หลี่เต๋อฝูกล่าวว่า “อย่าพูดมาก ถึงที่นั่นก็รู้เอง ทหาร ลงมือ”

สีหน้าของฟางรั่วเปลี่ยนไปทันที

“ราชาเผ่าเจียงวูส่งพวกเรามาเพื่อรับใช้ฝ่าบาท กงกงจะจับกุมพวกเราได้อย่างไร”

หลี่เต๋อฝูจีบนิ้วพูดว่า “ไม่ต้องพูดมาก มีอะไรก็ไปอธิบายกับฝ่าบาทเอง”

เขาโบกมือ แล้วทหารองครักษ์ก็เข้าไปทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์