สายลมยามค่ำคืนเย็นสบาย
แสงจันทร์ที่สาดส่องเป็นเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆ ขี้อายที่ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆ คอยส่องแสงสลัวๆ
แสงจางๆ และนุ่มนวลสะท้อนบนใบหน้างามหยาดเยิ้มของอินชิงเสวียน ทำให้ใบหน้าของนางดูงดงามยิ่งขึ้น ดูงดงามที่เหนือมนุษย์
ข้างๆ คือเย่จิ่งอวี้ที่เดินเอามือไพล่หลัง เสื้อคลุมปลิวไสวตามสายลมยามราตรี เงาของร่างผึ่งผายกำยำนั้นทอดยาว
ทั้งสองคนเงียบไปตลอดทาง ไม่มีใครเอ่ยคำใด
จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงตอนที่ไทเฮาถูกประหารชีวิต ทั้งสองคนกำลังเดินอยู่บนถนนหินกรวดสายนี้ ในเวลานั้น พวกเขาดูเหมือนจะมีเรื่องให้พูดคุยกันอย่างไม่รู้จบ แต่วันนี้ เป็นครั้งแรกที่อินชิงเสวียนรู้สึกถึงความแปลกแยกของเย่จิ่งอวี้
จนกระทั่งถึงตำหนักเฉิงเทียน เย่จิ่งอวี้จึงหยุดเดิน
“เสวียนเอ๋อร์อยากคุยกับข้าเรื่องสำนักศึกษาหลวงไม่ใช่หรือ”
อินชิงเสวียนมองดูเขาแล้วพูดว่า “หม่อมฉันคิดว่าตอนนี้ฝ่าบาทคง ไม่อยากฟังอีกแล้ว”
ปฏิกิริยาของเย่จิ่งอวี้ดูเหมือนจะช้าเกินไปครึ่งจังหวะ
“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเป็นห่วงเรื่องสำนักศึกษาหลวงมาโดยตลอด หลายวันนี้เสวียนเอ๋อร์สอนเป็นอย่างไรบ้าง”
อินชิงเสวียนมองไปที่เย่จิ่งอวี้ น้ำเสียงเบาลงหลายส่วน
“ก็ดีเพคะ ใต้เท้าทุกท่านต่างก็กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ตอนนี้พวกเขาเริ่มได้รับความรู้แล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานพวกเขาจะเข้าใจความรู้เหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ และจะเก่งกว่าอาจารย์ที่สอนอีก”
เย่จิ่งอวี้ตอบรับเบาๆ และเดินเข้าไปในตำหนักเฉิงเทียน แต่มาหยุดที่ประตูห้องด้านใน
อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมอง
“ฝ่าบาทมีอะไรจะถามอีกหรือไม่เพคะ”
เมื่อมองดูใบหน้านี้ที่เย็นเฉียบราวกับหิมะ ลูกกระเดือกของเย่จิ่งอวี้ขยับ และเขาก็เม้มริมฝีปากบาง
“ไม่มี นี่ก็ดึกแล้ว เสวียนเอ๋อร์รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
อินชิงเสวียนมองเขาอย่างลึกซึ้ง นัยน์ตาฉายแววจนปัญญา
เป็นเหมือนที่ตัวเองคิดไว้ไม่มีผิด เย่จิ่งอวี้เริ่มเย็นชาต่อนางแล้ว พิษกู่นี้รุนแรงยิ่งนัก
“เพคะ เช่นนั้นฝ่าบาทก็รีบพักผ่อนเถิด หม่อมฉันขอทูลลา”
อินชิงเสวียนยอบกายคำนัยน้อยๆ เตรียมตัวจากไป
ทันใดนั้นก็เห็นหลี่เต๋อฝูวิ่งเข้ามาจากด้านนอก
“ฝ่าบาท อินจ้งขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าต้องการให้หมอหลวงเหลียงไปที่จวน”
อินชิงเสวียนหันกลับมาแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
หลี่เต๋อฝูตอบ “นายท่านอินบอกว่า ประมาณสิบห้านาทีก่อน จู่ๆ คุณชายใหญ่อินก็อาเจียนเป็นเลือดไม่อยุด เหมือนจะไม่ไหวแล้ว”
อินชิงเสวียนตกตะลึง หรือว่าเขาจะเป็นเหมือนกับเย่จั้น ที่จู่ๆ ก็ถูกกู่แว้งกัด?
“ฝ่าบาท โปรดอนุญาตให้หม่อมฉันออกจากวัง กลับจวนไปดูพี่ใหญ่ด้วยนะเพคะ”
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้น”
หลี่เต๋อฝูจีบคอแล้วพูดเสียงแหลมว่า “กระหม่อมก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ คำพูดเหล่านี้ถ่ายทอดโดยทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าประตูวัง”
เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หลี่เต๋อฝูเจ้าไปหาหมอหลวงเหลียงที่สำนักหมอหลวง เสวียนเอ๋อร์ถ้ากังวลเกี่ยวกับอาการของพี่ใหญ่เจ้า ก็กลับไปดูเถิด ข้าจะส่งทหารองครักษ์ไปคุ้มครองเจ้า”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”
อินชิงเสวียนออกจากตำหนักเฉิงเทียน และรีบไปที่ตำหนักจินหวู
เสี่ยวอานจื่อวิ่งตามหลังมาติดๆ
“พระสนมไปหาใต้เท้าไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ทำไมถึงกลับมาอีก”
“ข้าปล่อยให้เสี่ยวหนานเฟิงอยู่ในวังคนเดียวไม่ได้ ข้าจะพาเขาออกไปด้วย”
จูอวี้เหยียนเป็นคนโหดร้ายทารุณ อีกทั้งสาวใช้ที่นางพามาด้วยนั้นเก่งวรยุทธ์ อินชิงเสวียนจะไม่ยอมให้นางมีโอกาส
เสี่ยวหนานเฟิงกำลังจับหูไป๋เสวี่ยเล่น เมื่อเห็นอินชิงเสวียนเขาก็ตะโกนอย่างมีความสุข “แม่ๆ~”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...