“ช้าก่อน”
เสียงที่ใสกังวานดังมาจากด้านหลังทุกคน
สตรีคนหนึ่งสวมกระโปรงรัดอกสีฟ้า ค่อยๆ เยื้องกรายออกมาจากด้านหลังขันที
สตรีผู้นี้มีรูปร่างเพรียวบาง ใบหน้างามแฉล้ม เรือนผมดำขลับปักไว้เพียงปิ่นหยกดอกไม้สีน้ำเงินสองดอก กิริยาเรียบง่ายสง่างาม ทุกอิริยาบถสะท้อนถึงความเย่อหยิ่งและสูงศักดิ์ของผู้ที่เหนือกว่า
“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร”
เย่จิ่งอวี้หันกลับมาด้วยสายตาประหลาดใจ แต่นอกเหนือจากนั้นสายตาก็ไม่ปรากฏความรู้สึกอื่นใดอีก
เมื่อมองเรียวตาหงส์คู่นั้นที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่วันนี้กลับดูเฉยเมยอย่างน่ากลัว อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
วันหนึ่งเย่จิ่งอวี้จะปฏิบัติต่อนางแบบเดียวกับที่เขาปฏิบัติต่อซูฉ่ายเวยหรือไม่
เมื่อนึกถึงความอบอุ่นในอดีต อินชิงเสวียนถอนหายใจอย่างจนใจ โค้งคำนับเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เดิมทีหม่อมฉันอยากไปเยี่ยมหลิงเฟย แต่ไม่นึกว่าจะได้พบนางที่นี่ เพราะนับตั้งแต่หลิงเฟยได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นสนมขั้นเฟย นางก็ขยัน ประหยัด มีคุณธรรมและสร้างความปรองดองในวังหลังเสมอมา ไม่เคยละเลยหน้าที่ของตนแม้แต่น้อย หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นแก่หน้าหม่อมฉัน โปรดให้อภัยหลิงเฟยด้วย”
เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้หรี่ลงราวกับกำลังตรึกตรองอยู่
ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นตึงเครียด นัยน์ตาฉายแววสับสนอยู่บ้าง
แม้ว่าเย่จิ่งอวี้จะไม่ชอบซูฉ่ายเวย แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องทำกับนางเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีความโกรธเกิดขึ้น
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก อารมณ์ของเย่จิ่งอวี้ก็ค่อยๆ สงบลง
“ก็ได้ ซูฉ่ายเวย ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปสักครั้งเพื่อเห็นแก่เสวียนเอ๋อร์ หากเจ้ากล้าทำให้ผู้มาใหม่เหล่านี้ลำบากใจอีก ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่”
ซูฉ่ายเวยรีบโขกศีรษะทันที
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ ขอบพระทัยพระสนม”
อินชิงเสวียนก้าวไปข้างหน้า ช่วยพยุงนางลุกขึ้น
“กลับไปเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้าอีก”
ซูฉ่ายเวยเหลือบมองจูอวี้เหยียนอย่างโกรธแค้น แล้วพยักหน้า
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
หลังจากที่ซูฉ่ายเวยจากไป อินชิงเสวียนก็หันไปหาจูอวี้เหยียน
“นายหญิงเหยียนก็ควรเรียนรู้กฎในวังหลวงไม่ใช่รึ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ป่าเถื่อนอย่างเจียงวู เราให้ความสำคัญกับประโยชน์และกฎระเบียบ เมื่อพบสนมต้องคุกเข่าคำนับ พวกเจ้าถือตนว่าเพิ่งเข้าวังหลัง ก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นกฎระเบียบของวังหลังอยู่ในสายตา สมควรถูกลงโทษ เด็กๆ ตบปากคนละยี่สิบครั้ง เพื่อให้เข้าใจข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง หากผู้ใดกล้าทำผิดเช่นนี้อีก ต่อไปต้องถูกลงโทษด้วยการโบยห้าสิบไม้”
เมื่อได้ยินว่าอินชิงเสวียนต้องการตบปากพวกนางอีก จูอวี้เหยียนก็จีบปากจีบคอตะโกน “ฝ่าบาท...”
“ฝ่าบาท!”
อินชิงเสวียนคำรามเสียงเย็น ขัดจังหวะจูอวี้เหยียน
“ในเมื่อฝ่าบาทได้มอบวังหลังให้กับหม่อมฉันแล้ว ก็ควรให้หม่อมฉันตัดสินใจ หากฝ่าบาทเอาแต่ปกป้องพวกนางอยู่เช่นนี้ อย่างนั้นตำแหน่งกุ้ยเฟยนี้ หม่อมฉันก็ไม่เป็นแล้ว”
ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดมน ลูกตาขาวตัดกับตาดำชัดเจนของนางมองที่เย่จิ่งอวี้อย่างสงบ ท่าทางไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
เมื่อสบตากัน เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกมึนงง
นี่คือเสวียนเอ๋อร์ของเขา อินชิงเสวียนที่ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อต้าโจว
เป็นขันทีน้อยที่ออกมาจากวังเย็น เป็นคนที่ถูกเขาล้มใส่จนหงายหลัง
ฉากที่ทั้งสองพบกันปรากฏแวบวับต่อหน้าต่อตาราวกับโคมม้าวิ่ง ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็ค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น
เขาจับมือเล็กๆ ที่เริ่มเย็นเฉียบของอินชิงเสวียน แล้วพูดเสียงอ่อนโยน “อย่าพูดด้วยอารมณ์ เจ้าคือว่าที่ฮองเฮาของข้า วังหลังล้วนเป็นของเจ้า หากเจ้าต้องการลงโทษพวกนาง ข้าก็แล้วแต่เจ้า”
เมื่อมองดูรอยยิ้มที่นุ่มนวลราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ อินชิงเสวียนก็อดเคลิบเคลิ้มไม่ได้
ฮ่องเต้น้อยที่อ่อนโยนเอาใจใส่ แต่แฝงไว้ด้วยความเผด็จการเล็กน้อยผู้นั้น คล้ายจะกลับมาแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...