“เช่นนั้นก็ดีเลย หากราชครูต้องการใช้ฟางรั่ว ก็เอ่ยปากได้เลย”
ฟางรั่วพูดจบ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ฟางรั่วไม่เข้าใจเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด หากราชครู...เป็นอะไรไป นอนกู่ที่อยู่ในตัวผู้ที่ถูกเสกกู่ใส่จะออกมาเองหรือไม่”
จูอวี้เหยียนเงยหน้าขึ้นทันที ถามด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าถามทำไม”
ฟางรั่วใจเต้นไม่เป็นส่ำ ก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ
“ฟางรั่วแค่อยากรู้อยากเห็น ไม่มีความหมายอื่นใด”
จูอวี้เหยียนพูดด้วยรอยยิ้มเยาะ “ทางที่ดีจงขจัดความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าซะ ข้าช่วยเจ้าได้ ข้าก็สามารถฆ่าเจ้าได้เช่นกัน”
ฟางรั่วรีบลนลานคุกเข่าลงบนพื้น
“บ่าวสำนึกผิดแล้ว บ่าวจะออกไปเดี๋ยวนี้”
“ช้าก่อน”
จูอวี้เหยียนเรียกนางไว้ แล้วโยนถุงกระดาษใบเล็กให้ฟางรั่ว
“สตรีที่ชื่อซูฉ่ายเวยนั่น ขัดหูขัดตาข้า เจ้าไปจัดการนางซะ”
“เจ้าค่ะ ฟางรั่วจะไปเดี๋ยวนี้”
ฟางรั่วรับห่อยาและออกจากหอซีอวิ๋น
ในเวลาเดียวกัน อินชิงเสวียนก็มายังคุกหลวง
“พาข้าไปพบหวังซุ่น”
“พ่ะย่ะค่ะ พระสนม”
ผู้คุมไม่กล้าพูดอะไรมาก กุลีกุจอพาอินชิงเสวียนไปที่ห้องขังชั้นในสุด
แล้วก็เห็นร่างอัปลักษณ์ที่สกปรกคนหนึ่งพิงหญ้าคาอยู่ นั่งไขว้ขา มีหญ้าแห้งคาบอยู่ในปาก กำลังฮัมเพลงเบาๆ ท่าทางเป็นอิสระไร้ความกังวลใจ
“หวังซุ่น รีบลุกขึ้นเร็ว กุ้ยเฟยเสด็จมาแล้ว”
ผู้คุมตะโกนโหวกเหวกเสียงดังลั่น จากนั้นหวังซุ่นก็พลิกตัวลุกขึ้นนั่ง
เมื่อเห็นอินชิงเสวียน เขาก็กระวีกระวาดคุกเข่าหมอบอย่างพินอบพิเทา
“ข้าน้อยหวังซุ่น ถวายพระพรกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
อินชิงเสวียนมองเขาอย่างเหยียดหยาม พูดประชดประชัน “ทุกวันนี้เจ้ามีชีวิตดีเลยนะ”
หวังซุ่นโขกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมทั้งพูดว่า “ทั้งหมดนี้ต้องขอบพระทัยกุ้ยเฟย หากกุ้ยเฟยไม่ห้ามให้พวกเขาสังหารข้าน้อย ข้าน้อยคงถูกถลกหนังไปนานแล้ว”
“เจ้าก็รู้นี่”
อินชิงเสวียนโบกมือ เสี่ยวอานจื่อก็ถอยกลับไปพร้อมกับผู้คุมทันที
หวังซุ่นกลอกตาเมล็ดถั่วเขียว ถามอย่างระมัดระวัง “พระสนมมีธุระอันใด ที่ต้องการให้ข้าน้อยทำหรือไม่”
อินชิงเสวียนกระตุกริมฝีปากขึ้นพูดว่า “นับว่าฉลาดดี ในสองวันนี้ข้าจะพาเจ้าออกจากคุกหลวง ถ้าเจ้าประพฤติตัวดี บางทีข้าอาจจะปล่อยเจ้าออกไป”
หวังซุ่นมีสีหน้าชื่นมื่น โขกศีรษะรัวๆ เหมือนไก่จิกข้าว
“พระสนมไม่ต้องห่วง ข้าน้อยจะทำตัวดีๆ อย่างแน่นอน”
“อืม งั้นพรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่”
หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็ออกจากคุกหลวง หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตัดสินใจไปยังที่พักของซูฉ่ายเวย
บัดนี้น้ำในวังปะปนไปด้วยสิ่งโสมม นางไม่มีทรัพย์สินพื้นหลังจากครอบครัว ดังนั้นอย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า
หอฉงฮวา
ซูฉ่ายเวยยังหน้าซีดด้วยความโกรธอยู่
ฝ่าบาทต้องการลงโทษนางเพราะหญิงป่าเถื่อนพวกนั้นจริงๆ วังหลวงแห่งนี้ไม่สามารถอยู่ได้อีกแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนนางก็เคยชื่นชมเย่จิ่งอวี้อยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่เหลือความรู้สึกอะไรอีกแล้ว
เซียงหลานที่อยู่ข้างๆ เกลี้ยกล่อม “พระสนม อย่าโมโหเลย ฝ่าบาทถูกสตรีพวกนั้นมอมเมาเพียงชั่วคราว ไม่ช้าก็เร็วเขาจะรู้ว่าเราดีต่อเขาจริงๆ”
ซูฉ่ายเวยแค่นเสียงหึ แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้น ไปดูกันดีกว่าว่าสินค้าของเราเหลืออยู่เท่าไหร่ ทุกวันนี้กุ้ยเฟยถูกฝ่าบาทหมางเมินไปแล้ว พวกนางเพศยาฉู่หลิงอวี้ก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหวอีก ดีล่ะจะได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ทำเงินให้ได้เยอะๆ”
“เพคะ”
เซียงหลานตอบ แล้วออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...