อินชิงเสวียนตกตะลึง ดวงตาเบิกโพลง
พอเปิดมิติดู ก็เห็นเย่จิ่งอวี้นอนอยู่ในมิติแล้วจริงๆ
ทำไมเขาถึงสามารถเข้าสู่มิติได้
หรือว่าทุกคนก็สามารถเข้ามาอยู่ในมิติของนางได้อย่างนั้นหรือ
ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็สุดยอดแล้วน่ะสิ!
เมื่อใดก็ตามที่นางต้องการโจมตีที่แห่งใด ก็สามารถยกกองทหารทั้งหมดเข้าไปในมิติ แล้วนางก็เดินทางไปคนเดียว ไม่เพียงแต่สามารถประหยัดเสบียงอาหารเท่านั้น แต่ยังสามารถประหยัดแรงได้อีกด้วย
อินชิงเสวียนค่อนข้างตื่นเต้น นางมาที่ประตู แล้วคว้าข้อมือของอวิ๋นฉ่าย
อวิ๋นฉ่ายมองไปที่อินชิงเสวียนด้วยสีหน้ามึนงง
“พระสนม เป็นอะไรไปเพคะ”
อินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไร แต่ใช้ความคิดเพื่อจะพาอวิ๋นฉ่ายเข้าไปในมิติ
ทว่า ยังได้รับคำเตือนจากระบบอยู่ว่า บุคคลภายนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในมิติ!
แต่ทำไมเย่จิ่งอวี้ถึงถูกตัดสินว่าเป็นตัวเอง
หรือว่า...เพราะเคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตัวเอง?
อินชิงเสวียนคิดอยู่นานก็ไม่ได้คำตอบ นางจึงต้องปล่อยผ่านไปเช่นนี้
“ไม่มีอะไร ไปทำงานของเจ้าเถอะ”
อินชิงเสวียนปล่อยอวิ๋นฉ่าย ในเมื่อใส่เย่จิ่งอวี้เข้าในมิติได้ จึงไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว
แม้ว่าการจี้สกัดจุดสลบของเขาจะครบกำหนดเวลา แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเขาอยู่ในนั้นก็ไม่สามารถออกมาได้ เขายังดื่มน้ำพุวิญญาณ และแช่น้ำพุวิญญาณหลายครั้ง เว้นแต่ว่าจูอวี้เหยียนจะยอมตายตกไปตามกัน นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่สามารถทำร้ายเขาได้
ตอนนี้นางต้องตีเหล็กตอนร้อน รีบไปขู่ขวัญให้จูอวี้เหยียนเกรงกลัว
คุกหลวง
จูอวี้เหยียนถูกมัดตรวนด้วยโซ่เหล็ก เมื่อมองดูเครื่องมือทรมานต่างๆ รอบตัวนาง นางรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
นางคิดว่าเมืองหลวงต้าโจวเป็นสถานที่ที่ธรรมดาง่ายๆ
ถ้ารู้แต่แรกว่าจะลงเอยเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็คงไม่เสี่ยงด้วยตัวเอง
ตอนนี้พิษกู่ของเย่จิ่งอวี้ถูกถอนออกแล้ว ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป จูอวี้เหยียนทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่อาซือหลานเท่านั้น เมื่อครู่นางได้กระตุ้นหนอนกู่แล้ว เพื่อให้อาซือหลานมาช่วยเหลือตัวเอง
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินผู้คุมพูดด้วยความเคารพว่า “กระหม่อมถวายพระพรกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
อินชิงเสวียนถามเสียงเรียบ “ลุกขึ้นเถอะ เหล่าสาวใช้ที่เป็นสายสืบจากเจียงวูอยู่ที่ไหน”
ผู้คุมพูดด้วยท่าทีพินอบพิเทา “ทางด้านขวามือพ่ะย่ะค่ะ หากพระสนมต้องการพบคนใด กระหม่อมจะพาคนออกมาเดี๋ยวนี้”
“นายหญิงเหยียนจากหอซีอวิ๋น”
หลังจากนั้นไม่นาน จูอวี้เหยียนก็ถูกผู้คุมพาตัวออกมา
เมื่อเห็นอินชิงเสวียน ดวงตาของจูอวี้เหยียนก็กลายเป็นสีแดงเลือด
“นังสารเลว”
อินชิงเสวียนสะบัดเสื้อ และนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสงบสง่างาม
“จะดุข้าก็ด่าไป ถึงอย่างไรเจ้าก็มีเวลาอ้าปากพูดไม่มากแล้ว”
จูอวี้เหยียนมองดูนางอย่างเคียดแค้นชิงชัง
“เจ้าถอนพิษกู่ได้อย่างไร”
อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ตอนนี้เจ้าไม่มีประโยชน์แล้ว แม้ว่าเจ้าจะพยายามทำร้ายให้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย เจ้าก็ไม่สามารถทำร้ายฝ่าบาทได้อีก”
จูอวี้เหยียนถ่มน้ำลาย ผรุสวาทสาปแช่ง “เจ้ามันสารเลวจริงๆ คิดถึงแต่เรื่องผู้ชายสารเลวเหล่านั้น แม้ว่าเจ้าจะสามารถช่วยเย่จิ่งอวี้ได้ แต่อินสิงอวิ๋นจะต้องตายแน่นอน”
อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ “ใช้หนึ่งชีวิตของพี่ใหญ่ข้า แลกกับหนึ่งชีวิตของเจ้า นับว่าคุ้มค่าแล้ว”
จูอวี้เหยียนตะโกนทันที “ถึงเจ้าจะพูดเช่นนั้น แต่ข้าก็ไม่เชื่อว่าพิษกู่ของเย่จิ่งอวี้จะถูกถอนออกแล้ว”
อินชิงเสวียนมองนางอย่างดูถูกเหยียดหยาม พูดว่า “ก็บอกอยู่ว่าเจ้าน่ะเป็นกบในกะลา เจ้ายังไม่เชื่อ โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล มีทุกสรรพสิ่ง ตัวเจ้าก็นับว่าเป็นชาวยุทธ์ เคยได้ยินเรื่องหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ล่ะ”
ใบหน้าของจูอวี้เหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เป็นหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ!
“เจ้ากับพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...