เมื่ออินชิงเสวียนมาถึงห้องโถงด้านข้าง เสี่ยวหนานเฟิงก็ตื่นขึ้นพอดี สองแม่ลูกหยอกเย้ากันสักพัก จากนั้นยายหลี่ก็มาอุ้มเจ้าเด็กตัวกลมไปดื่มนม
อินชิงเสวียนเข้าไปอาบน้ำในมิติ เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เมื่อออกมาสีหน้าก็ผ่องใสขึ้น
นางรับประทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ จากนั้นจึงเปลี่ยนชุดบุรุษ เตรียมตัวไปยังสำนักศึกษาหลวง
ทันทีที่ออกไป ก็เห็นเย่จิ่งอวี้เดินนำหลี่เต๋อฝูเข้ามาจากประตู
“เสวียนเอ๋อร์กำลังจะไปแล้วหรือ”
เมื่อเห็นหญิงสาวตัวน้อยสวมชุดบุรุษ บุคลิกองอาจห้าวหาญ ดวงตาของเย่จิ่งอวี้เป็นประกาย ช่างเป็นสตรีที่ไม่เป็นรองบุรุษอย่างแท้จริง
“อืม ไม่ได้ไปหลายวันแล้ว หม่อมฉันจึงอยากไปดูเสียหน่อย ประเดี๋ยวใต้เท้าเฒ่าพวกนั้นจะด่าข้าเอา”
อินชิงเสวียนเอามือไพล่หลัง อิสระเสรีดั่งบุรุษ
เย่จิ่งอวี้ยื่นนิ้วแตะจมูกเชิดรั้นของนางเบาๆ
“ใครกล้าดุเจ้า ข้าจะถลกหนังเขาเอง”
อินชิงเสวียนเม้มปากยิ้ม แล้วถามว่า “องครักษ์เงาผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
เย่จิ่งอวี้พูดอย่างยินดี “หลังจากดื่มน้ำของเสวียนเอ๋อร์ อาการก็ดีขึ้นมาก”
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงภาพหลอนที่เห็นตอนที่อยู่ในมิติของอินชิงเสวียน คิ้วก็ขมวดมุ่นน้อยๆ
หากมีโอกาสได้เข้าไปในมิติของเสวียนเอ๋อร์อีกครั้ง จะไปดูว่าผู้ที่พูดคือใครกันแน่
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังจากนอกประตู ครั้นแล้วเย่ไห่ถังที่แต่งกายด้วยชุดบุรุษได้เข้าประตูตำหนักมาแล้ว
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ก็อยู่ที่นี่ เย่ไห่ถังก็แลบลิ้นออกมาอย่างอดไม่ได้
“ถวายบังคมเสด็จพี่”
เย่จิ่งอวี้แสดงสีหน้าไม่พอใจ
“เป็นถึงองค์หญิงแต่กลับแต่งกายเช่นนี้ ไม่บังควรเลย”
เย่ไห่ถังคว้าแขนเสื้อของเย่จิ่งอวี้ทันที
“ข้าอยากออกไปเที่ยวนอกวังกับพี่สะใภ้ เสด็จพี่ท่านอนุญาตได้หรือไม่ น้องไม่เคยออกไปไหนเลย”
เย่ไห่ถังพลางออดอ้อน พลางขยิบตาให้อินชิงเสวียน
อินชิงเสวียนเบือนหน้าหนี แสร้งทำเป็นไม่เห็น นางไม่อยากพาเด็กนี่ออกไปจริงๆ เมื่อวานนางแค่พูดไปอย่างนั้นเอง
นางจะออกไปทำธุระ การจะพาเย่ไห่ถังไปด้วยนั้นไม่สะดวกจริงๆ อีกประการหนึ่ง ในเมืองหลวงตอนนี้มีเรื่องมากมาย นางมีมิติส่วนตัว สามารถปกป้องตัวเองได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าไปได้ หากเกิดอะไรขึ้นกับเย่ไห่ถัง นางจะรับผลที่ตามมาไม่ไหว
เย่จิ่งอวี้ก็ไม่ได้พูดเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่สนใจนาง เย่ไห่ถังก็เริ่มร้อนอกร้อนใจทันที
นางส่งเสียงฉอเลาะร้องเรียก “พี่สะใภ้คนดี ท่านช่วยขอร้องเสด็จพี่แทนข้าด้วย”
เมื่อถูกเรียกชื่อ อินชิงเสวียนไม่สามารถเสแสร้งได้อีก จำต้องถามว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ไปที่ไหนเสียหน่อย ทำไม...ไม่ให้องค์หญิงไปกับหม่อมฉันเล่าเพคะ”
ในใจกลับหวังว่าเย่จิ่งอวี้จะไม่ยอม แต่เย่จิ่งอวี้กลับเข้าใจผิด คิดว่าอินชิงเสวียนอยากพาเย่ไห่ถังออกไป หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าและพูดว่า “ก็ดี แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้น ไม่มีครั้งหน้าอีก”
อินชิงเสวียนเบิกตาโพลงทันที
เมื่อเห็นท่าทางของนาง เย่จิ่งอวี้ก็เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย
หรือว่าตัวเองเข้าใจผิด?
แต่เย่ไห่ถังได้คุกเข่าอย่างมีความสุขแล้ว
“ขอบคุณเสด็จพี่สะใภ้ ขอบคุณเสด็จพี่ใหญ่!”
อินชิงเสวียนส่ายศีรษะอย่างจนใจ
“งั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน”
เย่ไห่ถังก้าวไปจับแขนของอินชิงเสวียนเขย่า พูดอย่างล้อๆ ว่า “รีบไปเถอะ ห่างกันแค่สองชั่วยามเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเสด็จพี่จะตัดใจไม่ลงหรอกนะ”
พอเย่จิ่งอวี้หันกลับมา ก็เห็นสองคนนั้นเดินออกจากประตูตำหนักไปแล้ว
เมื่อมองดูแผ่นหลังของเย่ไห่ถังผู้ใสซื่อไร้เดียงสา เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงวัยเด็กของตัวเอง
ตอนนั้นเขาเอาแต่เอะอะโวยวายจะตามออกไปเล่นข้างนอกกับเสด็จอา
ต่อมาเมื่อเสด็จแม่จากไป ฮ่องเต้ก็ทอดทิ้งเขาราวกับรองเท้าผุพังคู่หนึ่ง หากเขาไม่ระวัง และไม่ทำให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย ตำแหน่งรัชทายาทนี้ คงถูกปลดไปนานแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...